เมืองคยองจู เมืองหลวงเก่าของเกาหลีใต้

เราเดินทางจากปูซาน ไปเมืองคยองจู โดยขับรถเพียงแค่ ชั่วโมงกว่าๆ เท่านั้น ทางระหว่างสองเมืองนี้เป็นทางด่วน ขับขี่ง่าย สะดวกสบาย แต่จะผ่านอุโมงค์เยอะหน่อย ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการขับรถในเกาหลีใต้ เพราะมีภูเขาเยอะมาก บางทีเหมือนออกจากอุโมงค์หนึ่งแล้วต่ออุโมงค์หนึ่งเลย

ระหว่างทางมีปั้มน้ำมัน ร้านอาหารที่ให้จอดพักรถ หาอะไรทาน หรือเข้าห้องน้ำ ซึ่งขอบอกว่า ห้องน้ำสาธารณะที่เกาหลีไม่ว่าที่ปั้มน้ำมัน หรือ ที่วัด หรือ ที่ไหนๆ เขาสะอาดมากๆ ค่ะ

เมืองคยองจูมีอะไร? เมืองคยองจูเป็นเมืองเก่า ในยุคต้นๆ ของเกาหลี คือยุคซิลลา(
신라) ซึ่งถือว่าเป็นยุคที่เกาหลีเคยรุ่งเรือง (ซึ่งตอนนั้นเกาหลี เขายังไม่ได้แบ่งเป็นเกาหลีเหนือ กับเกาหลีใต้) คือนานมามากแล้ว น่าจะสองพันปีที่แล้ว ประมาณนี้ค่ะ

ในตอนนั้นประเทศเกาหลี เขาก็มีพระมหากษัตริย์ มีราชวงศ์ฯ ดังนั้นที่นี่ก็จะออกแนวประวัติศาสตร์ๆ ถ้าเทียบกับไทย น่าจะเหมือนๆ เมืองลพบุรี หรือ เมืองอยุธยา…ประมาณนั้น

ที่เน้นๆ ที่นี่ก็จะมีวัด มีวัง มีสุสานฯ แต่ส่วนใหญ่จะถูกทำลายในช่วงที่ญี่ปุ่นเข้ามายืดประเทศไปเสียเกือบหมด แต่มาบูรณะซ่อมแซมในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองไปแล้ว ดังนั้น หลายๆที่ที่เราไป จะดูไม่เก่ามาก…ถ้าให้พูดตรงๆ ก็คือไม่ค่อยขลัง หรือ อลังการมากค่ะ เพราะซ่อมสะใหม่หมดแล้ว…

เมืองคยองจู ปกติก็ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปี ทั้งนักท่องเที่ยวที่เป็นชาวเกาหลีเองหรือแม้แต่ชาวต่างชาติ เห็นได้จากรถบัส รถทัวร์เต็มไปหมด แถมคนพื้นเมืองที่นี่พูดภาษาอังกฤษเก่งมาก (ถ้าเทียบกับที่หาดแฮอุนแด ที่คยองจูดีกว่าเยอะเลยค่ะ)

เมืองคยองจู สามารถเดินทางไปด้วยรถไฟ หรือ ขับรถไปเท่านั้นนะคะ ยังไม่มีสนามบินค่ะ

เมืองคยองจูจะมีนักท่องเที่ยวมากขึ้นช่วงที่ดอกซากุระเกาหลีบาน คือช่วงประมาณปลายมีนาคม ถึง ต้นๆ เดือน เมษายน และช่วงนี้นี่แหล่ะที่พวกเราไปกันค่ะ

จริงๆ เราวางแผนไปที่นี่ 3 คืน เพราะอยากเลยไปอีกเมืองหนึ่งซึ่งอยู่ถัดไป ชื่อเมือง โพฮาง โดยขับรถจากเมืองคยองจูไปอีก ชั่วโมงครึ่ง (หรือจะขับตรงดิ่งจากปูซานไป ก็น่าจะประมาณ 2.5ชม.)

แต่มาพูดถึงคยองจูก่อน ว่า เราไปที่ไหนมามั่ง..

วันแรกออกจากปูซานประมาณ 10โมงเช้า ไปถึงราวๆ เที่ยง โชคดีที่เข้าห้องพักได้เลย (Good Relation Pension) จากนั้นก็ไปทานอาหารเที่ยงที่ถนน Sajeong-ro ที่นี่ของทานเยอะมา ถนนนี้ติดกับ Cheonmachong tombs(สุสานฯ) และ observatory(หอดูดาว) ถ้าจอดรถหน้าสุสานได้ก็ดีค่ะ ค่าจอดรถประมาณ 2000วอน แล้วเดินเดินถ่ายรูปเล่นกับดอก Cherry Blossom ตรงถนนข้างๆ สุสานได้อีก (แต่ก็เรียกว่าเดินเยอะเหมือนกัน เขามีรถจักรยานให้เช่าด้วยนะคะ)

วันที่สอง ไปวัดบุลกุกซา (Bulgulsa) วัดเก่าวัดแก่ของที่นี่ จากนั้นไปต่อที่วัดบนเขา วัดซอกกุราม (Seokguram) วัดนี้จริงๆ ไม่ค่อยอยากแนะนำเพราะว่าเล็กมากๆ ดูจากรูปก็น่าจะพอ ต้องขับรถขึ้นไปอีกไกล เดินก็ไกล พอไปถึง ไม่ให้ถ่ายรูปกับพระ…แต่ก็เป็นพระปฏิมากรรมรูปปั้นหินที่สวยงามมากค่ะ

กลับจากวัดเราแว่ะทานอาหารกลางวันที่หน้าวัดบุลกุกซา (วัดแรก) แล้วกลับไปพักที่ห้องพัก

บ่ายๆ เราไปหมู่บ้านช่างศิลป์ฯค่ะ Folkcraft Village ที่นี่ฟรีค่าเข้า แต่เราเสียเงินไปหลายวอน เพราะว่าเขามีงานเครื่องปั้นดินเผา หรือสินค้าน่าสนใจมากมายอยู่ ถ้าไปเช้าๆ ก็อาจจะได้ร่วมระบายสี หรือปั้นงานกับเขาได้ค่ะ

ขับต่อไปอีกนิดไปที่พิพิธภันธ์ว่าด้วยเรื่องเพศสัมพันธ์ฯ (Sex Museum or Love Castle) ดูจากรูปที่รีวิวมันดูน่าสนใจค่ะ ไปๆ มาๆ เหมือนเหมาะสำหรับเด็กวัยรุ่นที่เห็นภาพโป๊แล้วยังตื่นเต้น แต่พวกเรารุ่นวัยทอง ก็เลยคิดว่า เสียเวลา และออกแนวน่าเบื่อมากกว่าค่ะ แถมค่าเข้าก็แพงกว่าที่ไหนๆ เลย คนละ 14,000 วอน (ในขณะที่ค่าเข้าวัดหรือวัง จะอยู่ประมาณ 2000-5000วอน)

จากตรงนี้จะเกือบๆ ห้าโมงเย็นเราไปต่อกันที่วังDonggung and Wolji Pong (Anopji Pond) ที่มีสระน้ำ แล้วคนเกาหลี หรือนักท่องเที่ยวเขาจะมารอถ่ายรูปตอนที่เขาเปิดไฟตอนกลางคืน แล้วแสงสะท้อนพร้อมีรูปวังอยู่ข้างหลังเป็นภาพที่สวยงาม เท่านั้น! นอกนั้น ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ ที่นี่ยิ่งดึก ยิ่งรถติดค่ะ เขามาดูไฟกันจริงๆ เอาจริงๆ เราว่า เฉยๆ…

จากวังฯ แว่ะซื้อขนมปังไส้ถั่วแดงที่ร้านที่เราอยากลอง Shilla Miso ซึ่งแถวนี้จะมีหลายร้านให้เลือก พอๆ กับแถวๆ หน้าสุสานฯค่ะ เลือกเอาที่สบายใจได้เลย แต่ถ้าจะให้แนะนำ ให้ไปร้านที่เขายืนทำให้เห็นสดๆ ร้านแบบนั้นเราจะซื้อแบบที่เพิ่งอบออกจากเตาได้เลยค่ะ

ไปต่อที่ตลาดนัดจุงอาง (Jungang) ที่นี่ตอนกลางวันเป็นตลาดนัดทั่วไป น่าจะเหมาะที่จะมาหาอาหารพื้นเมืองทาน แต่ตอนเย็นจะมีร้านค้ามาตั้งบู้ทประมาณนี้ ซึ่งราคาจะอยู่ประมาณ 3,500-10,000วอน (ถือว่าไม่แพงของที่นี่) เราซื้อใส่กล่องกลับไปทานที่ที่พักค่ะ

จะเห็นได้ว่า จริงๆ สองวัน หนึ่งคืน ก็เพียงพอแล้วที่คยองจู แต่เราค้างอีกคืนหนึ่ง เพราะพรุ่งนี้เราไปเมืองโพฮาง

วันที่สามไปโพฮาง เพราะว่าเราเห็นรูป รูปปั้นมือโผล่มาจากน้ำทะเล อยากไปถ่ายรูปด้วยเท่านั้นค่ะ ที่นั่นเขาเรียกว่า Homigot Sunrise Plaza ก็ไม่ไกลจากเมืองคยองจูมาก เพียงแค่ชั่วโมงกว่าๆ ไปถึงก็ถ่ายรูปและแว่ะทานปูนึ่งที่แถวตลาด จอนโตง (Cheontong) ถนนที่นี่ทั้งสายมีแต่ร้านอาหารปูค่ะ เรื่องราคาเราไม่อาจจะฟันธงว่าถูกหรือแพงกว่ายังไง แต่เราเชื่อว่า คงไม่มีที่ไหนสดไปกว่านี้แล้วค่ะ เพราะท่าเรือที่เขาเอาปูมาส่งก็อยู่ตรงข้ามกับร้านอาหารเลยค่ะ

ไปๆ มาๆ การได้มาทานปูที่นี่ กลายเป็นไฮไลท์ของทริปนี้ไปเลยค่ะ อร่อยมากจริงๆ

เรากลับมาจาก โพฮาง มานั่งเล่นสองสามชั่วโมง ก็ตัดสินใจแพคกระเป๋ากลับไปนอนบ้านที่ปูซานดีกว่า เพราะว่าไม่รู้จะไปไหนแล้วในคยองจู ส่วนใหญ่เป็นที่เที่ยวเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาพยายามบริหารและให้ความสำคัญ แต่ว่าเราเข้าไม่ถึงประวัติศาสตร์ของเขา เลยทำให้เราไม่ค่อยรู้คุณค่าเท่าไร…

เด็กวัยรุ่นชาวเกาหลีจะมาถ่ายรูปและทานอาหารกันที่นี่เสียส่วนใหญ่ค่ะ

พวกเราขอเช็คเอ้าท์ก่อนกำหนด ซึ่งก็ทำให้เจ้าของโฮมสเตย์ตกใจไม่ใช่น้อย นึกว่าเราไม่พอใจอะไร แต่จริงๆ แล้วอย่างที่บอกค่ะ ว่าเมืองนี้ไม่ได้มีอะไรมาก

จริงๆ พวกเราอยู่ปูซาน มาเช้าเย็นกลับ ก็เพียงพอแล้วค่ะ…

สรุปค่าใช้จ่ายหลักๆ ของทริปนี้
ค่าน้ำมันรถตลอดทริป ประมาณ 35,000-40,000 วอน
ค่าโฮมสเตย์ 3 คืน 250,000วอน (เพราะว่าเขาอนุญาติให้น้องหมาเข้าพักด้วยได้ และฟรีค่ะ)
นอกนั้นก็จะเป็นค่าเข้าชมวัดฯ ซึ่งส่วนใหญ่คนละประมาณ 5000วอน (ยกเว้น พิพิธภัณฑ์เรื่องเพศฯ คนละ 14,000วอน)

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll Up