วันนี้เราเดินทางมาถึงอุบลราชธานีตอน 8 โมงครึ่งด้วยสายการบินนกแอร์ วันนี้เป็นวันดีค่ะ เพราะเป็นวันอาสาฬหบูชา ฤกษ์ดีสำหรับการท่องเที่ยวด้วยจิตแจ่มใส วันนี้คุณหมูเจ้าของรถตู้และผู้นำทัวร์ตลอดทริปจากอุบลฯ-ลาวใต้ มารับพวกเราจากสนามบินฯด้วยรถตู้คู่ใจ
จากนั้น คุณหมูแจ้งให้เราทราบว่าวันนี้น้ำขึ้นสูงจะทำให้มองไม่เห็นสามพันโบก จึงขอพาพวกเราไปน้ำตกลงรูเท่านั้น จากสนามบินอุบลราชธานีใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึงน้ำตกลงรูหรือน้ำตกแสงจันทร์ จริงๆแล้วระหว่างทางผ่านสถานที่ท่องเที่ยวมากมายหลายที่มากเช่น ผาสะพือ ผาแต้ม ผาชะโด น้ำตกแสงนวล และอีกหลายหลายที่ แต่ว่าพวกเรามีเวลาจำกัด เพราะต้องเดินทางไปลาวใต้ต่อ จึงไปแค่น้ำตกลงรูเท่านั้น
น้ำตกลงรูวันนี้กลับน้ำน้อย แต่การที่น้ำไหลลงรูหินที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเป็นน้ำตกลงรู มันดูแปลกดีค่ะ ที่นี่จึงไม่ค่อยจัดเป็นน้ำตกสำหรับลงเล่นน้ำ แต่เหมาะกับการถ่ายรูปค่ะ
นี่ไง เพราะมันมีรูให้น้ำลงด้านบน…น้ำไหลลงผ่านรูพอดี!
รอบๆน้ำตกก็เป็นพื้นที่ป่าสงวนภายใต้การดูแลของอุทยานผาแต้ม ซึ่งสะอาด เรียบร้อยและร่มรื่นดีค่ะ เราเดินเล่นรอบๆน้ำตกได้กว่าครึ่งชั่วโมง (ขนาดน้ำตกเล็กๆ ยังเดินเล่นได้เกือบชั่วโมง ขยันเดินกันจริงๆ ค่ะ) เสร็จสรรพเดินทางต่อไปช่องเม็ก
แต่ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงพวกเราเริ่มหิวแล้วค่ะจึงบอกให้คุณหมูหาร้านอาหารง่ายง่าย คุณหมูจึงแนะนำร้านอาหารแถวๆโขงเจียมซึ่งเราจะผ่านอยู่แล้วและร้านที่เราแวะทานวันนี้คือร้านส้มตำหน้าศาล ดูท่าทางจะเป็นที่นิยมเพราะมีหลายคนจับรถมารับประทานอาหารที่นี่
ส้มตำที่นี่แซ่บมากแต่ที่น่าทานสุดสุดก็คือปลาแม่น้ำโขงที่ย่างกันแบบสดๆเลยค่ะ สนนราคาส้มตำจานละ 30 ถึง 40 บาทส่วนปลาแม่น้ำโขงไม้ละ 80 บาท คุ้มและอร่อย และทั้งใหม่สด แถมเยอะมาก กินแทบไม่หมด (แต่ด้วยความเสียดายก็พยายามกินกันหมดเลยค่ะ)
จากโขงเจียมใช้เวลาประมาณ 30 นาทีก็ถึงช่องเม็ก ชายแดนไทยกับลาวใต้ การจะเดินทางออกสู่ประเทศลาว เรามีไกด์มาช่วยเรื่องเอกสาร คนไทยใช้แต่พาสปอร์ตก็เดินทางเข้าออกประเทศลาวได้ครั้งละไม่เกิน 30 วัน ส่วนชาวต่างชาติเฉกเช่นชาวอเมริกันล่ะก้อ ต้องทำเรื่องขอวีซ่าค่ะ แต่พวกเราเตรียมตัวมาดี โดยเตรียมทำวีซ่ามาจากสถานฑูตลาวฯในกรุงเทพฯเรียบร้อยแล้ว (ค่าวีซ่า 1600บาท) การผ่านด่านที่ช่องเม็กนี้ทำเหมือนกับทุกๆที่คือมีเจ้าหน้าที่แสตมป์พาสปอร์ตและเดินลอดออกไปใต้อุโมงค์เพื่อไปโผล่ฝั่งลาวค่ะ ทางฝั่งไทยจะเรียกว่าช่างเม็กแต่ทางฝั่งลาวจะเรียกพื้นที่แถวนี้ว่าวังเต่า
ในฝั่งลาวนี้จะมีไกด์สาวชาวลาวมารอรับพวกเราค่ะ และไกด์สาวของเราชื่อว่า น้องหนิง ภาษาไทยเธอดีมาก และเธอจะช่วยเรื่องเอกสาร หากไม่มีวีซ่า เขาก็จะช่วยยื่นให้ แต่ถึงแม้พวกเราจะมีวีซ่ามาแล้ว ก็ใช้เวลาเดินเรื่องประมาณ 20 นาที จึงไม่รู้ว่ามีกับไม่มีวีซ่าอะไรจะไวกว่ากัน แต่ตรงนี้เราสามารถเดินเลือกซื้อของในดิวตี้ฟรี (Duty Free)ได้ ถึงแม้ว่าสินค้าหลักจะเป็นกาแฟยี่ห้อดาว (ก็คุณดาวเขาเป็นเจ้าของ duty free แห่งนี้นี่ค่ะ) ร้านค้าใกล้ๆ ก็มีร้านค้าประเภทสะดวกซื้อ สินค้านิยมก็ได้แก่เบียร์ลาวค่ะ แต่เราเก็บไว้มาช้อปปิ้งขากลับดีกว่าค่ะ
นี่ไง ถ้าเราเลือกบินจากกรุงเทพฯไปปากเซ เลย เราก็จะไม่ได้ความรู้สึกแบบนี้ แถมบินข้ามประเทศแบบนั้นมันแพง และยังไงก็ต้องมาต่อเครื่องบินที่อุบลฯอยู่ดีค่ะ (ต่อสายการบินลาว เพราะมีสายการบินเดียวตอนนี้ที่บินไปปากเซ)
ผ่านด่านปุ๊บ สังเกตได้เลยว่า รถเราก็เปลี่ยนเลนขับรถทันที คือฝั่งลาวเขาจะขับรถฝั่งตรงกันข้ามกับประเทศไทย เวลาข้ามถนนอย่าลืมมองให้ถูกฝั่งเดี๋ยวจะโดนรถชนนะคะ
จากตรงด่านช่องเม็กนี้ พวกเราตรงดิ่งไปอำเภอจำปาสัก ใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงครึ่ง อำเภอจำปาสักซึ่งเคยเป็นอำเภอหลักของจังหวัดจำปาสักในครั้งที่เคยตกอยู่ใต้อำนาจของประเทศฝรั่งเศสมาก่อน แต่ปัจจุบัน การคมนาคม ไม่สะดวกจึงย้ายไปที่เมืองปากเซแทน
ในอดีตกาล จำปาสักก็เคยตกเป็นเมืองขึ้นของขอมมาก่อน จึงมีวัดภู ซึ่งถือเป็นมรดกโลกอีกแห่งหนึ่งของประเทศลาว (ที่ลาวมีมรดกโลก 2 แห่งคือที่หลวงพระบางและที่นี่ค่ะ)
ลักษณะของวัดภูใครคล้ายกับอังกอร์วัดที่ประเทศกัมพูชาค่ะ แต่อาจจะมีขนาดเล็กกว่าและบางอย่างก็ยังสร้างไม่เสร็จเพราะว่าย้ายออกไปกันเสียก่อน วัดภูนี้มีค่าเข้าชมคนละประมาณ 210บาท (แต่เรารวมไปในแพคเกจทัวร์แล้ว)
คือเราใส่กางเกงขาสั้นตั้งแต่ไปน้ำตกลงรู แต่ถามไกด์ว่าต้องเปลี่ยนกางเกงไหมค่ะ ที่วัดภูแห่งนี้ไม่มีพระสงฆ์จำวัดค่ะ จึงไม่มีข้อห้ามเรื่องแต่งตัว เพียงแต่ให้เกียรติสถานที่ค่ะ แต่เดินขึ้นลงบันไดที่นี่ต้องระมัดระวัง เพราะเป็นขั้นหินแคบและชันมาก
การเดินขึ้นไปชมวัดภูด้านบน เป็นความเชื่อที่ว่าเป็นการได้ขึ้นสวรรค์ แต่บางคนแค่เห็นบันไดก็บ่นแล้วค่ะ…
ด้านบนจะมีวัดและพระพุทธรูป แต่สังเกตจากพระพักตร์ของพระพุทธรูปแล้วมีลักษณะแตกต่างกับพระพุทธรูปในประเทศไทย บ้างก็สันนิษฐานว่ามีพระพุทธรูปนี้ก่อนแล้ว ชาวขอมจึงมาสร้างวัดที่นี่ บ้างก็สันนิษฐานว่าเดิมมีวัดอยู่แล้วแต่ได้อัญเชิญพระพุทธรูปมาประดิษฐานในภายหลัง
ทางด้านหลังจะมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งไหลผ่านมาจากยอดภูเขาสูง น้ำเย็นเชียว…
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ไกด์นำเที่ยวได้พาไปชมที่ที่บูชายัญในอดีต ที่แต่ก่อนมีความเชื่อว่า หญิงชายที่สมัครใจบูชายัญจะได้ไปภพภูมิสวรรค์ แต่จะต้องเป็นชายหญิงที่บริสุทธิ์เท่านั้น โดยโขดหินที่ใช้บูชายัญจะแกะสลักเป็นรูปจระเข้ ให้ชายหญิงผู้ที่จะทำการบูชายัญขึ้นไปนอนอยู่บนจระเข้ โดยให้ผู้หญิงนอนหงายผู้ชายนอนคว่ำ ขั้นตอนในการบูชายัญนั้นเค้าบอกว่าจะทำการตัดอวัยวะเพศก่อนแล้ว เลือดจะไหลผ่านร่องหินจนขาดใจตาย ฟังดูน่ากลัวนะคะ โชคดีที่ความเชื่อเหล่านั้นหมดสิ้นไป
วิววัดภูจากด้านบน
ระหว่างทางเจอหนุ่มสาวชาวลาว ซึ่งส่วนใหญ่ขับรถมอเตอร์ไซต์มาเที่ยวกัน ดูได้จากการที่น้องๆ เขาสวมหมวกกันน็อคเดินกันค่ะ เลยขอถ่ายรูปด้วยคนนึง น้องๆ ที่นี่น่ารักดีค่ะ
แต่ส่วนใหญ่น้องๆ จะเนื้อตัวเปียกปอนกัน พอถามเค้าบอกว่าเดินไปเล่นน้ำตกมาค่ะ พวกเราจึงไม่รีรอเดินตามทางเข้าไป ขนาดไกด์ของเราก็ยังไม่เคยเดินไปมาก่อน แต่เธอก็ดีค่ะ ยินดีที่จะพาพวกเราไปค่ะ
ทางเดินไปค่อนข้างเฉอะแฉะแต่ไม่ไกลมาก เดินประมาณ 10 นาทีเองค่ะแต่พอเข้าไปมันมีแต่โขดหิน และแม่ค้าประมาณสองสามเจ้า แต่ก็มีเด็กๆ มาเดินเล่นน้ำกัน
พวกเราก็เลยลองเดินสำรวจเข้ามาอีกนิดตามเสียงน้ำตก แต่เดินไปไกลได้อีกนิด (ซึ่งปีนป่ายหิน กลัวลื่นมาก) ยังไงเราก็ไปไม่ถึง หรือไม่เห็นน้ำตกค่ะ จึงได้ถ่ายรูปกับโขดหินเท่านั้น
สรุป การได้มาชมวัดภู ที่ตอนแรกคิดว่าคงเป็นวัดเล็กๆไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่จริงๆแล้ว ถ้ามาลาวใต้ แล้วไม่มาวัดภู ก็เสียดายแย่นะคะ เพราะรอบๆวัด และทุกอย่างเป็นสีเขียว ต้นไม้ร่มรื่นสวยงาม วัดภูก็มีเอกลักษณ์เด่นของขอมที่หาดูชมได้ยาก เหมาะแก่การมาเยี่ยมชมมากๆค่ะ
จบทัวร์วัดภูพวกเราก็ขับรถยิงยาวกลับไปที่เมืองปากเซ โดยใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมง
เมื่อมาถึงอำเภอปากเซ ต้องข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ญี่ปุ่น-ลาว ช่วงที่ข้ามสะพานมองเห็นคฤหาสน์ขนาดใหญ่ นั่นคือคฤหาสน์ของคุณดาวค่ะเธอเป็นเจ้าของดาวคอฟฟี่ และรวมถึงตลาดดาวเรือง เรียกว่าคุณดาวช่างเป็นนักธุรกิจหญิงที่เก่งจริงๆ แม้ว่าเธอจะเป็นคนเวียดนามแต่ได้แต่งงานกับคุณหมอชาวลาว และย้ายถิ่นฐานตามสามีมาอยู่กันที่นี่ โดยเริ่มจากประกอบอาชีพเป็นแม่ค้าขายหมูธรรมดา แต่ด้วยความที่เป็นหัวการค้าเธอได้ร่วมลงทุนกับสามีเปิดบริษัทและทำสวนกาแฟ พร้อมเปิดตลาดกาแฟแบบชงพร้อมดื่ม หรือทรีอินวัน (3 in 1) ขายทั่วประเทศลาว และยังตีตลาดในไทยด้วยค่ะ
มาถึงโรงแรมAthena โรงแรมนี้เถอะว่าเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว พวกเราขอเลือกเองผ่านการอ่านรีวิวบน Tripadvisor โดยรวมห้องเขาใหญ่มากๆค่ะ สะอาด และ มีสระน้ำ ส่วนอาหารเช้าเป็นเซ็ตเมนูแต่จะสั่งขึ้นไปทานที่ห้องก้ได้ โทรทัศน์ที่นี่เป็นของทรูวิชั่น หลักๆมีช่องHBO และช่องต่างๆ ของไทย
หลังจากเช็คอินน์อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าพวกเราก็เดินออกไปหาอะไรทานค่ะ ปากเซเป็นเมืองเล็กๆ ถึงเล็กมาก จะมีเพียงร้านค้าและร้านอาหารเล็กๆ และรายล้อมไปด้วยโรงแรมต่างๆ คืนนี้ทดลองทานอาหารที่ร้านลาวดิน ส่วนใหญ่เป็นอาหารไทย ผัดกระเพราก็อร่อยดี สนนราคาคือ 30,000 กีบ (หรือประมาณ ร้อยกว่าบาท)
และนี่คือทริปวันแรก ที่พวกเดินทางจากกรุงเทพฯ บินมาลงที่อุบลฯ ต่อด้วยรถตู้ เดินผ่านมายังลาวใต้ และแม้จะเป็นวันแรก เราก็บอกได้เลยว่า ทริปนี้ ยังไงก็ต้องสนุกและดีแน่ๆ
Note: วันที่ 30 กค 2558
อ่านฉบับย่อๆ ทริป 4วัน 3 คืน ลาวใต้ (เดินทางผ่านอุบลฯ 30กค – 2สค 2558)
อ่านต่อ วันที่สอง ในลาวใต้ เที่ยวคอนพะเพ็ง ดูน้ำตกหลี่ผี่(บ้านดอนคอนเดช) และน้ำตกคอนพะเพ็ง แต่พวกเราหลงหรือไร ไปโผล่ฝั่งกัมพูชาเฉยเลยค่ะ อ่านต่อโล้ด!
วันที่สาม เที่ยว3น้ำตกดังในลาวใต้ น้ำตกตาดผาส้วม น้ำตกตาดฝาน และน้ำตกตาดเยือง
วันที่ 4 วันกลับ แว่ะตลาดดาวเรืองตลาดที่ใหญ่ที่สุดในลาวใต้ (แต่ซื้ออะไรไม่ได้เลย อ่อได้ต่างหูเงินมา 3 คู่) กลับช่องเม็ก แว่ะดูเทียนแกะสลักเข้าพรรษาฯที่อุบลฯ ก่อนจะบินกลับกรุงเทพฯ อย่างปลอดภัยค่ะ