ประสบการณ์ตรง อุ้มน้องหมาขึ้นเครื่องฯ จาก กรุงเทพ ไป อเมริกา โดยสายการบินเดลต้า!
เป็นครั้งแรกของชึวิต ที่ตัดสินใจเลี้ยงน้องหมา ซึ่งเป็นตัวแรก ที่เราต้องรับผิดชอบอย่างจริงๆ จังๆ (ไม่ใช่เลี้ยงหมาใต้ถุนบ้านเหมือนตอนเด็กๆ) แต่ต้นกำเนิดความคิดจริงๆ แล้วเป็นความตั้งใจและอยากเลี้ยงของแฟนฝรั่ง ที่เรารู้ดีกว่า ฝรั่งเขาเลี้ยงน้องหมาเสมือนสมาชิกคนหนึ่งในบ้าน หรือ เลี้ยงกันดั่งลูก ก็ไม่ปาน…
น้องหมาที่เราเลี้ยงเป็นหมาพันธุ์เล็ก คือ พันธุ์ ยอร์คฯ หรือเต็มๆ ว่า Yorkshire Terrier ซึ่งพันธุ์ของเขาจะมีขนาดเฉลี่ยเท่าๆ กับแมว
ซึ่งโดยทั่วไป น้องหมาพันธุ์เล็ก กะ น้องแมว ที่น้ำหนักไม่เกิน 5 กิโลกรัม (หรือ 10 ปอนด์) สามารถอุ้มขึ้นเครื่องบินบางแอร์ไลน์ที่เขาอนุญาติได้
ทำไมเขาต้องจำกัดน้ำหนักของน้องหมา น้องแมว? จริงๆ แล้วเขาจำกัดขนาด”กรง” หรือ “กระเป๋าหิ้ว” ต่างหาก โดย จะต้องมีขนาดไม่เกิน 16x15x10นิ้ว (45x43x25ซม) เพราะขนาดนี้จะเป็นขนาดที่ยัดเข้าใต้ที่นั่งด้านหน้าเราได้…
***กระเป๋าเจ้าหมาเรานี้ซื้อมาจาก ตลาดจตุจักร ใบละ 500 บาทค่ะ วัสดุก็สมราคา***
1. จะต้องซื้อตั๋วเครื่องบินให้น้องหมา น้องแมว?
ก่อนอื่น ขอบอกว่า ประสบการณ์ตรงของเรานั้น คือการบินจากกรุงเทพฯ ไปต่อเครื่องที่ ญี่ปุ่น ไปลงที่Los Angeles ก่อนที่จะบินอีกต่อไปบ้าน ที่ New Orleans ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยสายการบิน Delta ซึ่งสายการบินนี้ อนุญาติให้อุ้มน้องหมา หรือ น้องแมว ได้ทั้งหมด 4 ตัวต่อเที่ยวบินค่ะ แต่ในระหว่างประเทศ ไม่สามารถอุ้มขึ้นชั้น Business class ได้เพราะชั้นธุรกิจนั้น ไม่มีที่วางใต้ที่นั่ง ส่วนเที่ยวบินภายในประเทศอนุญาติให้อุ้มขึ้นชั้น business ได้ 2 ตัว ชั้นธรรมดา ได้อีก 2 ตัว (ประมาณนี้ ซึ่ง นโยบายนี้ อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ให้ลองเช็คกะสายการบินอีกที)
ส่วนในการจองตั๋วนั้น จริงๆ แล้วไม่ต้องจองให้น้องหมา หรือน้องแมวค่ะ แต่ให้จองให้คน นั่นก็คือตัวเรา เพียงแต่เราต้องโทรฯเข้าสายการบินนั้นๆ เพื่อทำการจองผ่านโทรศัพท์ และแจ้งเจตจำนงค์ว่า จะอุ้มน้องหมาหรือน้องแมวขึ้นไปด้วย
เขาจะทำการเช็คว่า เที่ยวบินนั้นๆ มีน้องหมา หรือ น้องแมว เกินจำนวนที่กำหนดหรือยัง ถ้ายัง เขาก็จะทำการจองให้ค่ะ ในขณะที่เราทำการจองเครื่องบิน ผ่านโทรศัพท์นั้น เมื่อสอบถามไปว่าค่าตั๋วน้องหมาเท่าไร? ทางเดลต้า บอกว่าไม่มีค่ะ ให้จ่ายแต่ค่าตั๋วของคน…แต่พอวันเดินทางจริงๆ มีค่าธรรมเนียม ตอนเช็คอินที่เค้าน์เตอร์แอร์ไลน์ โดยเจ้าหน้าที่แจ้งว่ามีค่าธรรมเนียมในการพาน้องหมาของเราขึ้นเครื่องระหว่างประเทศฯ 7000 กว่าบาทค่ะ ($200) แต่เขามีแจ้งในเว็บไซต์เป็นค่าธรรมเนียม http://www.delta.com/content/www/en_US/traveling-with-us/special-travel-needs/pets/pet-travel-options.html#carry
แต่เดี๋ยวก่อน นั่นคือเรื่องของสายการบิน และการจองตั๋ว หลังจากได้ตั๋ว ได้เที่ยวบิน ได้วันเดินทางแล้ว เราจะต้องไป 2. ติดต่อ ด่านกักสัตว์สุวรรณภูมิ (Suvarnabhumi Animal Quanrantine Station, เบอร์โทร 662 137 4600) ด่านกักสัตว์ฯ จะต้องอยู่ที่เขตปลอดอากรและคลังสินค้า (Free zone) ล่วงหน้าก่อนการเดินทาง 3 วันค่ะ โดยเปิดทำการ ทุกวันเวลา 8.30น-16.30น (พักเที่ยง 12.00-13.00น.)
เพราะเราเดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิฯ เราก็ต้องไปติดต่อที่นี่ด่านฯ นี้โดยตรง ถ้าบินจากสนามบินที่อื่นๆ ก็ลองโทรฯไปถาม call center เบอร์ 02-653-4444 ดูนะคะว่ากรณีของคุณนั้น ต้องไปติดต่อที่ไหน?
เอกสารที่ต้องใช้ 1.พาสปอร์ตของเจ้าของน้องหมา 2.ประวัติน้องหมา 3.ใบฉีดวัคซีนประจำปี และตัวล่าสุด(สำคัญมาก) และอุ้มน้องหมา ไปด้วยค่ะ (เขาจะมีสัตวแพทย์ตรวจร่างน้องหมาหรือน้องแมวที่นั่นด้วย)
หากท่าน เป็นชาวต่างชาติ (ซึ่งท่านก็จะอ่านรีวิวนี้ไม่ได้แน่ๆ) ควรมีแฟนเป็นคนไทย อิๆๆ หรือมีเพื่อน หรือมีล่าม หรือ มีไกด์ไป (ถ้าเราจ้างบริษัทฯที่รับทำเรื่องนี้ เขาคิดค่าบริการประมาณหนึ่งหมื่นกว่าบาทค่ะ) แต่ถ้าไปเองได้ก็ประหยัดไปโข เพราะค่าธรรมเนียมจริงๆ แค่ 50บาท (แต่เสียเวลา 2-3ชั่วโมง) และ ครั้งแรกอย่าคิดไปทำคนเดียวเลยค่ะ อย่างเราสองคนกะแฟนก็หิ้วน้องหมาไป
เราขับไปวนรถที่สนามบิน แล้วออก ถ.ร่มเกล้าฯ ก็จะเจอ เขตปลอดอากรและคลังสินค้า (Free zone) อยู่ซ้ายมือ
เข้าไปที่ห้องริมตึกเลย รับบัตรคิวก่อน (จะปวดห้องน้ำ หรืออะไร จงทนก่อน วิ่งไปขอบัตรคิว ถ้าคุณไม่ได้ไปถึงเป็นรายแรก) ห้องนี้ มีเจ้าหน้าที่สองคนสองโต๊ะ เนี่ยแหล่ะเหตุที่ต้องไปกันสองคน เจ้าหน้าที่จะสอบถามเราว่า เราจะไปพาน้องหมาไปประเทศไหน? เพราะแต่ละประเทศมีระเบียบวิธีการไม่เหมือนกัน
เราคนหนึ่งที่นั่งกรอกฟอร์ม ร.1/1 (รับฟอร์มที่เจ้าหน้าที่ เขาจะมีตัวอย่างกรอกฟอร์มให้ดูด้วยค่ะ) คุณแฟนก็จะอุ้มน้องหมา ให้เจ้าหน้าที่ถ่ายรูป ถ่ายรูปเสร็จ ก็จะพาอุ้มเข้าไปโต๊ะด้านในเพื่อตรวจสุขภาพเบื้องต้นให้น้องหมา
ในขณะที่กระบวนการต่างๆ เกิดขึ้นกะหมา เราซึ่งเป็นคนที่กรอกเอกสารก็ต้องเตรียมเอกสารให้หมด พร้อมแบบฟอร์ม ปรากฎว่า ใบรับรองน้องหมาที่เราได้มานั้นไม่มีสติกเกอร์วัคซีนติดมา เราก็ต้องโทรฯไปที่โรงพยาบาลสัตว์ ซึ่งทางสัตว์แพทย์ก็ให้ความช่วยเหลือดีมาก ช่วยส่งแฟกส์สติกเกอร์วัคซีนของน้องหมามาให้ถึงที่ด่านกักสัตว์สุวรรณภูมิเลย ก็เลยโชคดี เพราะถ้าเอกสารไม่ครบ ก็ต้องกลับมาใหม่ (แต่เมื่อเสร็จแล้ว เราก็ต้องวิ่งไปโรงพยาบาลสัตว์ฯ เพื่อขอสติกเกอร์ตัวจริงมา เพราะว่าเขาจะขอตรวจสมุดนี้ทุกที่เลยค่ะ สำคัญมากจริงๆ)
วัคซีนที่สำคัญๆ ก็มี แต่ที่ประเทศอเมริกานั้น นั้น Rabies, DHa2PPi/L and Deworming และที่สำคัญน้องหมาควรติดไมโครชิฟ (และมีหมายเลขไมโครชิฟด้วย)
จบจากห้องแรก เราจะได้ user name กับ password ของการเป็นผู้นำออก/นำเข้าน้องหมา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมีประวัติน้องหมาเก็บไว้ ต้องทำใหม่ทุกครั้งของการเดินทาง) ส่วนเอกสารอื่นๆเขาก็จะส่งไปให้ห้องข้างๆ ซึ่งเราต้องย้ายไปนั่งรอให้นายสัตวแพทย์ในห้องนี้เป็นคนเซ็นต์รับรองเอกสาร ซึ่งพวกเราก็โชคดีมาก เป็นคิวที่ 9 ติดพักกลางวันแค่ห้านาที เลยโดยกักทั้งคนและสัตว์ที่ด่านนี้!!!
ช่วงพักเที่ยง ที่บริเวณคลังสินค้านี้ มีโรงอาหาร แต่ห้ามมิให้นำสัตว์เลี้ยงเข้าไป แต่โชคดีที่มี 7-11 ให้ซื้อน้ำซื้อท่าดื่มรอไปชั่วโมงนึง…แต่เท่าที่แอบไปส่องที่เขาโพสกันใน เฟสด่านกักสัตว์ฯ นี้โดยเฉลี่ยแล้วก็ต้องรอตัวละ 2-3 ชมค่ะ มาบ่ายๆ อาจจะต้องมาอีกวันนะ
แต่พอบ่ายโมงห้านาทีเราก็ได้เอกสาร มาสองใบ คือ 1. ใบนำอนุญาติในการนำสัตว์เลี้ยงออกนอกประเทศ ใบนี้ให้ยื่นตอนเช็คอินกับสายการบินที่สนามบินสุวรรณภูมิ และ 2.ใบขออนุญาตินำสัตว์เลี้ยงเข้าประเทศ ให้นำไปยื่นที่ ประเทศปลายทางคือ อเมริกา แต่เนื่องจากเราต่อเครื่องที่ประเทศญี่ปุ่น ให้ถ่ายเอกสารไปใบนึง เพราะจะมีเจ้าหน้าที่มารอรับเอกสารที่นั่น (ถ้าไม่ถ่ายเอกสารไป นางจะต้องเดินไปถ่ายเอกสาร ซึ่งอาจจะเสียเวลาในการเปลี่ยนเครื่องฯ แนะนำให้เตรียมไปเลยใบนึง)
แต่ขอชมเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่ด่านกักสัตว์ฯแห่งนี้ อารมณ์ดี และ อัธยาศัยดีมากๆ เลยค่ะ
เสร็จแล้ว…ก็รออีกสองวันที่จะมาถึง…แอบตื่นเต้น กลัวหมาเห่า กลัวหมาตาย กลัวหลายอย่าง แต่เรื่องน้องหมาเห่า นี่สำคัญ เราเลยแอบไปขอยากับสัตว์แพทย์ เขาเลยให้ ยาซึม (Acepromazine หรือ Melatonin ที่คนเราทาน แต่เขาว่าไม่เหมาะกับหมาที่ alert มากๆ) เราได้ยามาสี่เม็ด เน้นว่าเป็นยาทำให้หมานั้นซึมๆ แต่ไม่ใช่ ยานอนหลับ (เพราะยานอนหลับเป็นอันตรายกับน้องหมา) ส่วนการกินยานั้นขึ้นอยู่กับน้ำหนักของน้องหมาและปริมาณของยา (dosage) คุณหมอบอกว่ากินก่อนขึ้นเครื่องสัก 1-2 ชั่วโมง และแต่ละเม็ดนั้นต้องกินห่างกันอย่างน้อย 8-10 ชั่วโมง การเดินทางไปอเมริกาฯของพวกเรา เราให้น้องหมากินทั้งหมดสองเม็ด ก็พอดีกับการเดินทางกว่า 26ชั่วโมง แต่ถ้าถามว่า ยังเห่าไหม ตอบ เห่าค่ะ เสียงดังด้วย ดังนั้นถ้าน้องหมาใครเป็นพวกหมาชอบเห่า ก็ทำใจหน่อย ทนสายตาผู้โดยสารท่านอื่นๆ ไป
แต่ถ้าในอเมริกาฯ ยาตัวนี้หาซื้อได้ตามร้านขายวิตามิน (GNC) หรือร้านค้าที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงทั่วไป (~$13-$15) โดยเขาจะเรียกว่า Calming Pills ประมาณนี้ เช่น PetSmart, PetCo, หรือร้านค้าออนไลนฺ์ Chewy.com (แต่ยาบางตัวเขาจะขอใบรับรองจากสัตวแพทย์ด้วย – เพราะขนาดแค่พาไปอาบน้ำ เขาก็ยังขอใบประวัติการฉีดวัคซีน ฯลฯ เลยค่ะ)
วันเดินทาง เราอุ้มน้องหมาออกจากบ้าน พร้อมด้วยกระเป๋าเดินทางของพวกเราทั้งหมดทั้งสิ้น 4ใบใหญ่ๆ จะมีเจ้าหน้าที่มายืนรอรับน้องหมาที่หน้าเค้าน์เตอร์สายการบินเดลต้าด้วย เราได้ยินน้องเขาพูดว่า “มาแล้ว รออยู่ๆๆๆ” จากนั้นเขาก็จะขอใบที่เราได้มาจาก ด่านกักสัตว์ฯ และสมุดฉีดวัคซีนด้วย และก็ค่าธรรมเนียม ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้นคือ $200 หรือ 7000 กว่าบาท (ตอนแรกก็ประหลาดใจ เพราะตอนจองเครื่องบินเขาบอกว่าไม่มี) น้องหมาก็จะมีป้ายติดกับกรง เป็นชื่อเจ้าของน้องหมา ฯลฯ เท่านั้นเป็นอันเสร็จสิ้นเรื่องของน้องหมาค่ะ
จากนั้นก็อุ้มน้องหมาเดินไปเดินมา เพื่อรอขึ้นเครื่องได้เลย…ง่ายแสนง่าย แต่เราขึ้นเครื่อง เราก็ต้องผูกมิตรกับเพื่อนที่นั่งข้างๆ ว่ามีน้องหมามาด้วยนะคะ และขออภัยล่วงหน้าถ้าน้องเขาเสียงดัง แต่โดยรวมๆ ก็ถือว่าโชคดีที่ไม่มีปัญหาตลอดการเดินทาง
ต่อเครื่องเที่ยวแรกที่ ญี่ปุ่น ก็จะมีเจ้าหน้าที่มายืนรอรับเราอีก เขาจะขอใบใบขออนุญาตินำสัตว์เลี้ยงเข้าประเทศ(2) อันนี้แหล่ะค่ะที่บอกว่าให้ copy ไป เพราะไม่เช่นนั้น เจ้าหน้าที่เขาจะต้องนำใบนั้นไป copy เอง ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่า เครื่องถ่ายเอกสารเขาอยู่ไกลแค่ไหน แต่พอเราให้ใบนั้นไป เราก็เดินไปต่อเที่ยวบินถัดไปได้เลย
อ่อ เวลาจะผ่านจุด security check แต่ละที่นั้น ส่วนมากให้อุ้มน้องหมาออกจากกระเป๋า แล้วเดินผ่านเข้าไป ส่วนกระเป๋าน้องหมา ให้ส่งเข้าสายพานเพื่อตรวจเช็คเหมือนกระเป๋าที่เราถือขึ้นเครื่อง…
จาก ญี่ปุ่นไป ลอสแองเจอลิส กว่า 12 ชั่วโมง ถือเป็นช่วง หฤโหดสำหรับเรา เพราะกระเป๋าน้องหมา ที่วางใต้เก้าอี้ด้านหน้าเรานั้น ทำให้เราไม่มีที่วางเท้าเลย (ปกติก็ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว) บอกเลยว่า ณ จุดนี้ สาหัสมาก
***ชั้นโดยสารแบบธรรมดาระหว่างประเทศ ปกติก็แทบจะไม่มีที่วางเท้าอยู่แล้ว พอวางกระเป๋าเจ้าหมาน้อยลง เท้าก็แทบไม่มีจุดยืน…
เมื่อถึง Los Angeles จุดนี้ที่เราจะต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง (หรือเข้าประเทศ) เจ้าน้องหมาเราก็เช่นกัน ตรงนี้แหล่ะที่เขาจะขอเอกสารน้องหมาอีกใบนึง แต่จริงๆ เขาไม่ค่อยสนใจเอกสารนะ สนใจ อาหารน้องหมาที่เราพกมาต่างหาก ดังนั้น ถ้าไม่อยากเจอตรวจกระเป๋าอีกรอบ ให้เอาอาหารหมา ทิ้งตั้งแต่ลงเครื่อง ก่อนเข้าด่านตรวจคนเข้าเมืองไปเลย…
จาก Los Angeles เราบินอีกต่อสั้นๆ ไปบ้านเราที่ New Orleans ต่อนี้ที่ชั้นธุรกิจ(ในประเทศ) สามารถนำน้องมาเข้ามานั่งด้วยได้ ชั้นธุรกิจนี้มีพื้นที่วางเท้าเพียงพอทั้งน้องหมา และคนอย่างพวกเรา…อยากให้ทุกเที่ยวบินมีที่นั่งสำหรับคนที่อุ้มน้องหมาขึ้นเครื่องเป็นแบบนี้จัง เดลต้าน่าจะมีที่นั่งพิเศษไว้สำหรับคนที่อุ้มหมา อุ้มแมว แยกไว้เลย (เหมือนที่นั่งพิเศษสำหรับคนท้อง คนชรา) ทุกเที่ยวบิน ทั้งในและนอกประเทศ ถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็จะได้บินกลับบ้านกับน้องหมาบ่อยๆ…
เย้ๆ ถึงบ้านแล้ว ดูไม่ยุ่งยาก แต่ก็ไม่ง่าย คงอีกนานกว่าเราจะอยากเดินทางกับเจ้าหมาน้อยนี่อีก…เหนื่อย แต่ จบลงด้วยดี!
เอาไว้ เวลาอุ้มน้องหมากลับไปประเทศไทย ก็จะเขียนต่ออีกที เพราะต้องทำทุกอย่างใหม่อีกรอบที่อเมริกาฯ…