ช่วงเวลาที่รอคอย ของทริปในปักกิ่ง เพราะหลังจากเราได้แวะชมสุสานราชวงศ์หมิง กันแล้ว เราก็มาต่อกนที่ กำแพงเมืองจีน หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทำให้พวกเราอยากมาเยือนปักกิ่งในครั้งนี้ค่ะ
เราใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงในการเยี่ยมชมสุสานใต้ดินฯของราชวงศ์หมิง และออกเดินทางต่อมาที่ กำแพงเมืองจีน โดยใช้เวลาถึงเกือบสองชั่วโมงจากสุสานราชวงศ์หมิงฯ กว่าจะถึงกำแพงเมืองจีน แต่แค่เข้าเขตกำแพงเมืองจีนที่ไกด์บอกว่า ใกล้ถึงกำแพงเมืองจีนแล้ว เราก็เริ่มเห็นภูเขาเต็มไปหมด ไม่แน่ใจว่าที่เห็นรำไรๆ นั่นใช่กำแพงเมืองจีนหรือเปล่า?!
ไกด์และคนขับรถพาเรามาส่งที่ ดูเหมือนเป็นลานจอดรถ ตอนแรกพวกเรายังไม่รู้ซะด้วยซ้ำว่าต้องทำอะไร ขอบอกว่า ป้ายที่เมืองจีนไม่ค่อยมีค่ะ ถ้ามากันเองคงต้องเก่งภาษาจีนสักหน่อย โชคดีที่เรามีไกด์เขาก็จัดแจงให้เราเสร็จสรรพค่ะ โดยได้ตั๋วมาสองใบ เป็นตั๋วขึ้นกระเช้าไฟฟ้าค่ะ
กระเช้าไฟฟ้าที่นี่ขนาดเล็กค่ะ สำหรับผู้โดยสาร 4 ท่าน ถ้ากลัวความสูงก็สามารถขึ้นรถจากด้านล่างได้ค่ะ แต่ทว่า ท่าทางกระเช้าไฟฟ้าจะได้รับความนิยมจากผู้ไม่กลัวตาย เอ้ยไม่กลัวความสูงมากกว่า เพราะว่าสะดวก รวดเร็ว และได้มองเห็นภาพมุมเสียวๆ เอ้ย ภาพในมุมสูงๆ ได้อีกด้วย
มาถึงกำแพงเมืองจีนนี่ก็เที่ยงวันพอดีค่ะ ช่วงเดือนเมษายน อากาศกำลังดี มีแค่เสื้อกันหนาวอุ่นๆ กันคนละตัวก็พอแล้วค่ะ ยังไงก็คงต้องเช็คสภาพอากาศด้วย เพราะว่าบางเดือนก็หนาวและหมอกหนามากค่ะ
แม้ว่ากำแพงเมืองจีนจะยาวถึง 21,196.18 กิโลเมตร แต่ต่อให้เราสามารถเดินข้ามเขาตลอดทางในระยะสองหมื่นกว่ากิโลเมตรได้สบายๆ ก็เถอะ แต่อย่าลืมว่ากำแพงเมืองจีนมีอายุมากกว่า 2,500 ปีแล้วนะคะ ก็ต้องมีบางส่วนที่ชำรุด ผุผังไปบ้าง และเพื่อความปลอดภัยของกำแพงเมืองจีน และความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ทางจีนเปิดให้เดินชมกำแพงเมืองเป็นบางส่วนและบางระยะเท่านั้นค่ะ
การชมเป็นบางช่วงของกำแพงเมืองจีนแบบนี้ ทำให้ดูเหมือนนักท่องเที่ยวเยอะมาก และยิ่งตรงกำแพงเมืองช่วงที่สูงๆ บนยอดเขา ก็ชันมากค่ะ ดังนั้นถ้าใส่รองเท้าผ้าใบก็จะทำให้เราเดินง่ายขึ้น
ต้องเดินออกห่างไปจากฝูงชนสักหน่อย ก็จะมีโอกาสถ่ายรูปเดี่ยวๆ บ้างได้ค่ะ
ภาพจากเพื่อนๆ ที่ไปท่องเที่ยวที่กำแพงเมืองจีนเหมือนกัน แต่เป็นช่วงเดือน กันยายน ซึ่ง จะเห็นหมอกหนากว่าค่ะ
มองไปทางไหนก็เป็นกำแพงยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตาค่ะ จะถ่ายรูปได้เยอะแค่ไหนก็เถอะ แต่ภาพมาดูก็เหมือนๆ กันหมดค่ะ สู้ไปดูด้วยตาไม่ได้จริงๆ สูงขนาดนี้ ยาวขนาดนี้ สุดยอดงานสร้างค่ะ นี่ถ้าเราเป็นคนจัดอันดับสิ่งมหัศจรรย์ของโลกเอง เห็นแบบนี้ก็เรียกว่า ลำบากใจเหมือนกัน…
สังเกตว่าบนกำแพงเมืองจีน ไม่ค่อยมีร้านค้า จะมีก็แต่ตั้งโต๊ะขายเล็กๆ ไม่กี่โต๊ะ และขายของที่ระลึก ส่วนใหญ่ก็เป็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับกำแพงเมืองจีนค่ะ ราคาแพงเอาเรื่องเหมือนกัน สุดท้ายก็ได้พวงกุญแจที่คนขายเขา สลักชื่อและวันเดือนปี ที่เรามาเที่ยวกำแพงเมืองจีนให้ฟรี แต่ราคาต่ออันก็ประมาณ $3…
ส่วนร้านน้ำดื่ม เขามีบริการขายเป็นที่ๆ และมีไม่กี่ร้านจริงๆ แต่ข้อดีของการไม่มีร้านค้าก็คือ ไม่มีขยะ ทำให้กำแพงเมืองจีนไม่สกปรกหรือมีขยะตามทางเลยค่ะ แต่ตรงด้านล่างที่จอดรถ กับที่ขึ้นกระเช้าไฟฟ้าก็มีของขาย แต่ขอบอกว่าเ หมือนกันหมด ต่างกันที่ราคา
ส่วนเรา อยากซื้อโปสการ์ด ซึ่งคนขายบอกชุดละ $15 เหรียญ (มีประมาณ 12 แผ่น) ซึ่งเราก็ส่ายหน้าไม่เอา แล้วเขาก็ลดให้ $12….$10….$8…แต่เราก็ไม่เอา เพราะเราก็ไม่เคยซื้อโปสการ์ดที่ไหนแพงขนาดนี้ เลยส่ายหน้า จนสุดท้ายคนขายถามว่า จะให้เท่าไรล่ะ เราก็คิดในใจว่า โปสการ์ดแบบนี้แถวบ้านเราแผ่นละ 5-10 บาทเอง มันน่าจะไม่เกิน $3 นะ พวกเราก็ครุ่นคิด (ว่าจะไม่เอา เพราะว่าไม่กล้าต่อ ก็ท่านเล่นเริ่มตั้งแต่ $15 แล้วเราจะต่อ $3 ก็กระไร…) พวกเราก็ส่ายหน้า ไม่เอาดีกว่า แต่คนขายก็ตื้อว่าจะให้เท่าไรล่ะ สุดท้ายไกด์ของเราบอกว่า บอกไปเลยว่า 1 เหรียญ(ดอลล่าร์)!!! เราได้ยินไกด์บอก เราก็รีบตามน้ำ คนขายก็มองหน้าไกด์ (แบบว่าอยากต่อยไกด์เราอ่ะ แล้วเขาก็พูดเป็นภาษาจีนใส่ไกด์ ฉอดๆๆๆ เราฟังไม่ออกหรอกค่ะ แต่แปลด้วยกริยาท่าทางแล้ว เหมือนเขาด่าไกด์เราแน่ๆ) พวกเราเห็นแบบนั้น ไม่ชอบคนขาย เลยบอกว่าไม่เอา ไม่ว่าจะให้เท่าไรแล้วค่ะ แต่เหตุการณ์นี้ก็เลยทำให้พวกเราชื่นชอบไกด์ของเราเป็นพิเศษ…
ไกด์กับคนขับรถก็พาพวกเรากลับเข้าเมืองและส่งที่โรงแรม ถือเป็นอันสิ้นสุดภารกิจทัวร์ของวันนี้ ไว้ไปหาเป็ดปักกิ่งทานกันต่อเองดีกว่า…
ทริปวันต่อไปเราไปหูท่ง เป็นชุมชนเก่าแก่ของชาวปักกิ่งในตอนเช้า จากนั้นบ่ายๆ ก็ไป พระราชวังฤดูร้อนค่ะ