พระราชวังคยองบุคกุง นี้ปิดทุกวันอังคาร แนะนำให้ไปดูการแสดงเปลี่ยนเวรทหารที่จะแสดงวันละสองรอบ คือ เวลา 10โมงเช้า กับ บ่ายสองโมงค่ะ
ทีต้องบอกว่าปิดวันไหน จะได้ไม่ไปเก้อค่ะ เพราะที่นี่เป็นพระราชวังที่ถ้าเดินทางไปโซลแล้วต้องไปค่ะ และยังเป็นพระราชวังที่มีนักท่องเที่ยวสวมใส่ชุดฮันโบคเยอะมาก
การเดินทางไปพระราชวังคยองบุคกุงนี้ด้วยรถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่สถานี Gyeongbukgung ทางออกที่ 4
ค่าเข้าชมพระราชวังนั้นคนละ 5000 วอน ซึ่งบัตรเข้าชมนี้สามารถเดินเข้าเดินออกวังกี่รอบก็ได้ภายในหนึ่งวันค่ะ นอกจากนั้นยังใช้บัตรเข้าชมวัง เข้าชม Folk Museum ที่ตั้งอยู่ข้างๆ วังได้ด้วยค่ะ
แต่หากนักท่องเที่ยวสวมใส่ชุดฮันโบก ก็เข้าชมพระราชวังฟรี ไม่เสียค่าเข้าชมค่ะ ซึ่งชุดฮันโบกนี้สามารถหาเช่าได้ตามร้านข้างๆ วังค่ะ มีหลายร้านให้เลือกมาก โดยมีให้เลือกหลายราคา ขึ้นอยู่กับ แบบ และจำนวนชั่วโมงที่จะเช่าชุดค่ะ
แต่การชมวังคยองบุคกุงนี้ เราลงชื่อไว้กับ Seoul Walking Tour ซึ่งเป็นทัวร์ฟรี ที่น้องๆ หรือ อาสาสมัครที่ต้องการสืบสาน และเผยแพร่ วัฒนธรรม พร้อมกับฝึกฝนภาษาอังกฤษ จะเป็นไกด์พาทัวร์วังฯ ให้พวกเราค่ะ
โดย สามารถลงทะเบียนขอร่วมทัวร์นี้ได้ที่เว็บไซต์ เขาจะยืนยันกลับมาว่า ใครจะเป็นไกด์ในวันนั้นค่ะ ส่วนเราเลือกรอบ 10โมงเช้าวันจันทร์ และไกด์อาสาสมัครเราคือ คุณคิม ค่ะ
แต่การนัดเจอกันตอน 10โมงเช้าที่ ประตูหลัก นั้น เป็นช่วงที่เขามีการแสดงการเปลี่ยนรอบเวรทหาร (แบบโบราณค่ะ) ซึ่งเขาจะแสดงวันละสองรอบ คือ 10โมงเช้า กับ บ่ายสองโมง โดยใช้เวลาในการแสดงนี้ประมาณรอบละ 20 นาที
พอเราไปเจอเขากำลังแสดง ก็เลยลืมไปเลยว่าเขานัด จนไกด์เขาก็ส่งเมสเสสมาตาม ว่าเขาก็กำลังดูการแสดงเหมือนกัน เราเลยคิดว่า เขาน่าจะนัดพวกเราก่อนหรือหลังการแสดง จะดีกว่า…
มันชุลมุนไปนิด แต่ไกด์เขาก็พยายามรวบรวมพวกเรา และแจ้งให้พวกเราซื้อตั๋วเข้าวังฯกันเอง ซึ่งวันนี้ก็ไม่จำนวนเกือบ 15คน และแต่ละคนก็มาจากหลากหลายประเทศ น้องไกด์ก็เริ่มทัวร์ที่หน้าประตูเข้าวังเลยค่ะ
จริงๆ ข้อมูลและภาพประกอบของน้องไกด์นั้นดีมาก เพียงแต่ว่า ที่วังนี้คนเข้าชมจำนวนมาก หลายๆ ช่วงที่พวกเราไม่ได้ยินเลยว่าไกด์พูดว่าอะไร ประกอบกับน้องไกด์นั้นใจดีมากไป ไม่มีภาวะในการเป็นผู้นำ หลายๆ ช่วงที่ผู้ร่วมทัวร์ ไม่สนใจ และเดินออกเส้นทางทัวร์ เพราะว่า ฟังไกด์ไม่รู้เรื่อง
แต่รวมๆ แล้ว ก็ดีกว่า เดินดุ่มๆ มากันเอง เพราะว่า น้องไกด์เขาก็ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของวังฯค่อนข้างละเอียด
โดยวังคยองบุคกุงนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1395 เรียกว่าเป็นพระราชวังแรกๆ เลย แถมมีขนาดใหญ่ที่สุดอีกด้วย
วังคยองบุคกุงมีฉากหลังเป็นภูเขา ถ่ายรูปยังไง ก็ได้ภาพอารมณ์เกาหลีๆ แน่นอนค่ะ
วังคยองบุคกุง มีความใหญ่อลังการตามแบบฉบับพระราชวัง แต่ที่ไม่เหมือนบ้านเราก็คือ วังทั้งวัง จะมีการทาสีและตกแต่งวังเพียงห้าสีหลักเท่านั้น ก็ด้วยความเชื่อของชาวเกาหลีนั่นแหล่ะค่ะ
นอกจากนั้น ยังมี ปล่องไฟ ที่วังบ้านเราไม่มี ก็เพราะที่เมืองโซลช่วงหน้าหนาว หิมะตก ก็จะหนาวมาก สมัยก่อนเขาก็จะจุดก่อเตาอยู่ใต้ตำหนัก โดย ฐานตำหนักจึงเป็นหินเพื่อป้องกันไฟไหม้ และจึงมีท่อหรือปล่องไฟให้ควันไฟออก
และถ้าสังเกตุดีๆ วังในเกาหลีใต้ส่วนใหญ่ ป้ายต่างๆ จะเป็นภาษาจีนค่ะ เราสอบถามไกด์แล้วว่า ชนชั้นกลาง และชนชั้นสูงในโบราณ นิยมเขียนเป็นภาษาจีนค่ะ ส่วนภาษาเกาหลีมีไว้คนชั้นสามัญชนใช้เท่านั้น
และบางอย่างในวังนั้นได้ถูกนำมาใช้จากญี่ปุ่น ในช่วงที่ญี่ปุ่นปกครองเกาหลีใต้ค่ะ อย่างเจ้านาฬิกาจากแสงอาทิตย์นี้ มีการดูเวลาชั่วโมงและนาที แต่เวลาที่อ่านได้เป็นเวลาท้องถิ่นในญี่ปุ่นค่ะ
จริงๆ วังนี้ จะไม่มีอะไรเลยถ้า เขาไม่ส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวสวมใส่ฮันโบกและเที่ยวชมวังฟรีแบบนี้ เพราะว่า สีสันของวังจริงๆ ก็มาจากนักท่องเที่ยวที่สวมใส่ฮันโบกกันนี่แหล่ะค่ะ
ในการเดินทัวร์นี้ เรามาจบลงที่ประตูด้านหลัง ประตูทางเหนือ ซึ่งด้านหลังนี้เป็นที่ทำงานของประธานาธิบดีของเกาหลีใต้ค่ะรอบๆ มีการ์ดเฝ้าเต็มเลยค่ะ
จบทัวร์เราก็เดินไปทางซ้าย เดินลัดเลาะประตูรั้ววังมาจนสุดถนนใหญ่ (กลับมาประตูทางเข้าหลัก) แต่แว่ะไปที่ Sejong Village Food Street ที่อยู่ข้างๆ สถานีรถไฟฟ้าGyeongbukgung ทางออกที่2
ที่นี่มีร้านหมู/เนื้อย่างเกาหลี ให้เลือกลองหลายร้านค่ะ และแม่ค้าที่นี่ดีกว่าที่ปูซาน ตรงที่ว่า พูดภาษาอังกฤษได้เกือบทุกคน
ร้านนี้อร่อยและยังคงเสิร์ฟสไตล์แบบดั้งเดิม โดยดูจากเครื่องเคียงเป็นหลัก อร่อย อิ่ม
จากนั้นเราก็ไปต่อที่ตลาด Namdaemun ตลาดนี้ออกแนวสำเพ็งๆ มีของฝากเกาหลีมากมายหลายแบบให้เลือก เครื่องดื่มพวกจินเซ็ง ฯลฯ ที่เลือกไปตลาดนี้ ก็เพราะนั่งรถแท็กซี่ไปไม่ไกลค่ะ (ประมาณ 5000 วอน) หรือจะนั่งรถไฟฟ้าสายสีฟ้า ไปลงที่สถานี Hoehyeon ทางออกที่5 หรือ 6 ก็ได้ค่ะ>>>