มาเรียนทำกิมจิกันถึงที่โซล เพื่อจะเอาสูตรต้นตำรับการทำกิมจิ กลับไปทำที่บ้านทานกัน!
(English)
ปกติ ไม่ค่อยใช่ทาสอาหารเกาหลี หรือ ซีรีย์เกาหลี หรือ แฟชั่นเกาหลีใดๆ ค่ะ อาจจะเป็นเพราะด้วยอายุด้วย
แต่จำได้ว่า ตอนที่กำลังจะเลือกอพาร์ทเมนท์ที่พักที่ปูซานนั้น ทุกห้องที่เขาพาไปดู เขาจะมีตู้เย็น สองเครื่อง ซึ่งเขาบอกว่า เครื่องหนึ่งสำหรับใส่อาหารทั่วไป แต่อีกเครื่องหนึ่งสำหรับใส่กิมจิ!
เพราะคนที่นี่เขาทานกิมจิกันทุกวัน ทุกมื้อ และไม่ว่าจะเป็นอาหารทั่วไปเขาก็ยังเอากิมจิไปเป็นส่วนประกอบด้วยค่ะ อย่างเช่น ขนมปังไส้กิมจิ ซุปกิมจิ เกี้ยวกิมจิ พิซซ่ากิมจิ!
ฝรั่งบางคนก็ไม่ชอบทานกิมจิ เพราะว่ามีกลิ่น…พวกเราก็ทานได้บ้าง กับ พวกอาหารปิ้งย่าง แต่พวกอาหารดัดแปลงนั้นไม่ชอบ
ในขณะเดียวกัน มันเป็นอาหารโปรดปรานของชาวเกาหลี โปรดปรานมากแม้กระทั่งเวลาถ่ายรูป เขายังพูดว่า “กิมจิ” แทนคำว่า “ยิ้ม”หรือ Cheese !
กิมจิถูกจัดเป็นหนึ่งในห้าอาหารสุขภาพโดยเฮลท์แม็กกาซีน (Health Magazine) โดยให้เหตุผลว่ากิมจิอุดมด้วยวิตามิน ช่วยในการย่อยอาหาร และอาจจะมีส่วนช่วยในการลดการเกิดมะเร็งในกระเพาะอาหาร
สังเกตุไหมค่ะ ว่า หนุ่มๆ สาวๆ ชาวเกาหลี ทานกันแต่ หมู เนื้อ เป็ด ไก่ ซีฟู้ด ปิ้งย่างตามสไตล์เกาหลี นั้นไม่ค่อยมีพุง??? เพราะเขาทานกับกิมจิ ซึ่งมีกิมจินี่แหล่ะ ที่เข้าไปช่วยในการย่อยอาหาร และลดไขมันในเลือดได้
แต่วิธีการทำกิมจิในจำนวนมากๆที่เราเห็น ก็ดูไม่ค่อยสะอาดสักเท่าไรนะ..
ดังนั้นมาเรียนทำกิมจิไว้ทานเอง เพื่อความสะอาด ปลอดภัย และได้ประโยชน์มากกว่าโทษกันดีกว่า…
เราเลือกเรียนทำกิมจิที่ Kimchi Academy (http://www.kimchischool.net/xe/) จองผ่านเว็บไซต์โดยตรงกับเขาคือ คนละ 45,000วอน หรือประมาณ 1,200บาท (แต่ถ้าหากจองผ่านเว็บขายทัวร์ จะถูกกว่านิดหนึ่ง เช่น Trazy.com หรือ Klook.com) แต่ราคานี้เป็นราคารวมทำทั้งกิมจิ ต๊อกโปกกิ และได้ใส่ชุดฮันบกด้วย
แต่ตอนเราจองเนี่ยเขาเป็นคนบอกเราเองว่ารอบภาษาอังกฤษมีแค่รอบเดียวคือรอบบ่ายสองโมง (แต่ในเว็บขายทัวร์เขาไม่ได้บอกนะ ก็อาจจะต้องเรียนรวมกับภาษาจีนหรือภาษาญี่ปุ่นไป)
ที่เรียนจะอยู่ใกล้กับที่สถานี เมียงดง (สายสีฟ้า) ทางออกที่ 10
เราก็มาก่อนเวลานิดหน่อยค่ะ เพราะว่ามาจ่ายเงินก่อนด้วย แต่พอจ่ายเงินเสร็จสรรพ ก็มีพนักงาน มาจับเราแต่งชุดฮันบก
แล้วพาเราไปยืนตามฉากต่างๆ และไกด์ท่าโพสต์ให้เราทำตามด้วยค่ะ ซึ่งท่าต่างๆ ก็คือท่าที่กำลังฮิตในช่วงปีนี้ (2562) เช่นท่าทำมือรูปหัวใจต่างๆ
การโพสต์สไตล์เกาหลีนั้น เน้นที่มือ กับนิ้ว เหรอเนี่ย???…ลุงๆ ป้าๆ เช่นเราเลยทำไม่ค่อยได้กัน 555
จากนั้น เขาก็ให้นั่งเล่น ซึ่งเราหันไปหันมาก็มีแต่เราแค่สองคน เราก็นึกว่า ให้เรานั่งรอนักท่องเที่ยวคนอื่น แต่ นี่มันบ่ายสองโมงกว่าๆ แล้ว ทำไมมีมีคนมา เราก็เลยไปถาม เขาบอกว่า ให้รอบ่ายสองครึ่ง (ซึ่งเราก็ฟังอย่างอื่นไม่ออก ว่ารออะไร)
ตอนแรกก็แอบ งง ว่า นี่เราซื้อ รอบ เรียนทำบ่ายสองโมงไม่ใช่เหรอ???
สักพัก เจ้าของ หรือ ครูที่สอนทำกิมจิ ก็เดินไปคุยกัน ต่อมาไม่กี่นาที เขาก็มาจับเราใส่ผ้ากันเปื้อนค่ะ
สรุป คลาสนี้มีเพียงแค่เราสองคน และเขาก็เริ่มสอนให้หลังจาก เราถ่ายรูปกับฮันบกแล้ว
ครูที่สอนทำกิมจิ พูดเร็วมากๆ เราจำแทบไม่ได้ว่า เขาแนะนำตัว หรือ ถามพวกเราหรือเปล่าว่าชื่ออะไรกัน พร้อมปุบเขาก็สอนทันที
งั้น…มาเริ่มทำกิมจิกันเลยค่ะ
เริ่มด้วยการ เอากระหล่ำแบบนี้นะคะ มาตัดเป็นสี่ส่วน (ตามยาว) แล้วล้างน้ำให้สะอาดๆ
จากนั้นนำเกลือทะเล (แบบก้อนหยาบๆ) มาใส่ในกระหล่ำ ใส่ตามชั้นใบๆ เขาก็ไม่ได้บอกปริมาณเกลือนะคะ แต่ว่าให้กระหล่ำโดยเกลือแทบทุกส่วน จากนั้นก็เอาไปหมัก ใส่กล่องเก็บไว้ ถ้าอากาศร้อน หมักเกลือไว้ประมาณ 6-8 ชั่วโมง แต่ถ้าอากาศหนาว ให้หมัก ประมาณวันหนึ่งค่ะ
จากนั้นก็เอา กระหล่ำที่หมักเกลือ มาล้างเกลือออกให้หมด…ผึ่งให้แห้ง
สูตรของที่นี่ เขา ใช้หัวไชท้าว (Radish) มาหั่นและใบต้นหอมอีกนิดหน่อย โดยอัตราส่วนวันนี้ที่เราทำ คือกระหล่ำหนักประมาณ 7-8ขีด
จากนั้นก็นำส่วนผสม ซึ่งก็มี น้ำหมักกุ้ง (คล้ายๆน้ำกะปิเลย) พริกป่นเกาหลี งาคั่ว น้ำตาล น้ำปลา ทุกอย่างนี้หาซื้อได้ตามตลาดทั่วไป แต่ที่เขาภูมิใจเสนอคือ น้ำต้มข้าวเหนียว (ได้จากผงข้าวเหนียวต้มกับน้ำในอัตรา 1:10) ทุกอย่างนี้ ใส่อย่างละ 1ช้อนโต๊ะ ขยำคลุกกับหัวไชท้าว ที่เราหั่นไว้
จากนั้นก็นำกระหล่ำปีที่เราล้างน้ำ และสะเด็ดน้ำแล้วมาทาด้วยส่วนผสมที่เราทำไว้ค่ะ โดยทาทุกชั้นใบของกระหล่ำ
เสร็จแล้วก็ม้วนกระหล่ำ ให้แน่น จนแทบไม่เหลืออากาศด้านใน ห่อให้กลมๆ เหมือนเด็กห่มผ้าอ้อม
เสร็จแล้วกิมจิ Homemade ของพวกเรา…
หากไม่ชอบกิมจิรสเปรี้ยวมาก ก็ให้เริ่มทานวันที่ 3 แต่ถ้าหากชอบเปรี้ยวๆ ก็ค่อยเริ่มทานวันที่ 7
กิมจินี้ น่าจะเก็บไว้ทานได้ ไม่เกิน 3อาทิตย์ค่ะ แล้วเขาก็แพคกิมจิที่เราทำให้เราเอากลับไปทานที่บ้าน
จากนั้น ก็ไปทำ ต๊อกโปกกิ กันต่อ …
ต๊อกโบกกี มีขายเกลื่อนตลาดทุกที่ที่เราไปโดยเฉพาะที่ตลาดแฮอุนแดที่เราพักอาศัยอยู่
ในส่วนต๊อกโปกกิ นั้นง่ายมาก แต่มี แป้งต๊อก และ น้ำซอส ก็ทำได้แล้ว ยิ่งปัจจุบันมีแบบสำเร็จรูปขาย…อันนี้เราก็ขอลงรายละเอียด เพราะตอนเขาสอน เขาก็บอกแค่นี้จริงๆ … (คนสอนเขาทำเวลามาก)
แต่พอทำเสร็จ เขาก็ให้เรานั่งทานต๊อกโบกกีกัน…ซึ่งส่วนตัวแล้วไม่ค่อยชอบทานต๊อก ชอบ ลูกชิ้นปลาแบบแผ่นๆ มากกว่า
จบโปรแกรมเพียงแค่นี้ ใช้เวลาทั้งหมดเพียง 40 นาทีเอง อาจจะเป็นเพราะมีเพียงแค่เราสองคน หรือ เขาสอนเร็วมาก เร็วจนบางครั้งเรารู้สึกเหมือน เขามาสอนให้เสร็จๆ ไป… เลยบอกไม่ถูกว่าเราประทับใจกับสถานที่นี้ไหม? เหมือนมันขาดความรู้สึกอะไรบางอย่างไป มันดูห้วนๆ
แต่จริงๆ นะ มันเป็นสไตล์ของชาวเกาหลี แค่นี้ก็ถือว่าเขา friendly มากแล้ว จริงๆ…
เอาล่ะ เราได้กิมจิกลับมาบ้านแหล่ะ เราก็รอวันที่ 3 วันที่เราจะเปิดทานกัน โดยเราก็ไปเรียนเพื่อนมาร่วมทานเป็นสักขีพยานด้วย ซึ่งเพื่อนทั้งสองคนก็เป็นฝรั่งชาวอังกฤษเลย แต่ยังเป็นคนรุ่นใหม่ที่ชอบลองของ…
ตอนเปิดซอง ก็ร้องกั้นระหึ่ม คือกลิ่นมันออกมาจากถุงที่ปิดสนิทไว้นาน
แต่… อร่อยนะ อร่อยกว่าแบบกระป๋อง หรือ อร่อยกว่า หลายๆ ร้าน ที่เราไปทานมา เพราะมันยังสด ยังกรอบอยู่ค่ะ
กิมจิที่มีขายในตลาด จะรสชาดจัดจ้านมากกว่าสูตรที่เราทำ หากใครอยากลองทำ อาจจะปรับเปลี่ยนโดยใส่พริกป่นมากขึ้นก็ได้ถ้าชอบทานเผ็ด
บางสูตรใส่ กระเทียมบด กับ ขิงบดละเอียดเข้าไปในขั้นตอนผสมส่วนผสมด้วย
เดี๋ยวจะลองทำอีกครั้งเอง ดูสิ ว่าจะเป็นยังไง…