ทริปบินจากกรุงเทพไปลงอุบลราชธานีแล้วต่อรถไปลาวใต้ เผลอๆ ทะลุไปเขมรอีกต่างหาก! ไม่น่าเชื่อว่าเดินทางไปลาวกันแบบง่ายๆ สบายๆ แต่สนุก ราคาไม่แพง (แม้ว่าเราจะเลือกแพคเกจที่ไฮโซสุดๆแล้วนะ)
จากกรุงเทพไปอุบลราชธานีตอนนี้มีอยู่หลายสายการบินค่ะ มีทั้ง นกแอร์ สายการบินแอร์เอเซีย สายการบินไทย สายการบินไลอ้อนแอร์ แต่ด้วยวันแล้วเวลาเราเลือกสายการบินนกแอร์ค่ะ สนนราคาค่าตั๋วไปกลับของพวกเราตกคนละ 6000 กว่าบาท แพงไปนิดเพราะเป็นตั๋วแบบเปลี่ยนแปลงวันเวลาได้ เพราะพวกเราอาจจะอยากเปลี่ยนแปลงตั๋วภายหลังได้ แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนเวลาขากลับจริงๆ ขอกลับเย็นๆ หน่อย…
เริ่มกันที่ เราออกจากกรุงเทพแต่เช้า และไปถึงที่นั่นประมาณ 8 โมงครึ่ง ตามแพ็คเกจแล้วคุณหมูเจ้าของรถตู้จะมารับเราตอน 8 โมงครึ่งเวลาเดียวกับที่เครื่องลงค่ะ แต่กว่าจะออกมาเจอกันก็เกือบเกือบประมาณ 9 โมงครึ่ง ก่อนจะข้ามไปฝั่งลาว เราเช็คกันก่อนว่าเราจะเที่ยวในอุบลฯ บ้างได้ไหม ปรากฎว่า ช่วงนี้จะหน้าฝน จะต้องเที่ยวแต่น้ำตก ส่วนสามพันโบกหรือแก่งตะนะ นั้นตอนนี้น้ำขึ้นมองไม่เห็น ต้องมาเที่ยวช่วงหน้าแล้งค่ะ พวกเราจึงเลือกไปน้ำตกลงรูก่อน เพราะว่าดูจากรูปมันแปลกดี จากสนามบินฯ พวกเราจึงตรงไปที่น้ำตกลงรู หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า น้ำตกแสงจันทร์ (อ.โขงเจียม)
ทานอาหารกลางวันที่ร้านส้มตำหน้าศาล ร้านส้มตำที่ดังที่สุดในโขงเจียม
แล้วเดินทางต่ออีก 20-30 นาที ก็ถึงช่องเม็ก สุดเขตแดนสยามกันที่นี่ คนไทย มีแต่พาสปอร์ต ก็เดินทางไปประเทศลาวได้ แต่ถ้าชาวต่างชาติฯ ก็สามารถทำวีซ่า Arrival ที่นี่ได้ มีค่าธรรมเนียมประมาณ $35-40 เหรียญ ใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที แต่เราทำมาแล้วจากสถานฑูตลาวในกรุงเทพฯ โดยเสียค่าธรรมเนียม 1,600 บาท และทำวันเดียวได้เลย ส่งใครไปทำแทนก็ได้ค่ะ
ตรงนี้เราได้ผ่านด่านไปยังฝั่งลาวพร้อมกับรถตู้เลยค่ะ ปกติแล้วคนไทยชอบเช่ารถแล้วขับผ่านด่านฯ ไปเที่ยวลาวใต้กัน แต่ก็ต้องชำนาญนิดนึงเพราะว่าถนนเขาขับคนละฝั่งกับประเทศเรานะคะ
ไกด์ชาวสาวชาวลาวจะมารับเราตั้งแต่ตรง Duty Free (คือผ่านด่านไทยมาแล้ว ก็เจอกันเลย) วันนี้ไกด์ของพวกเราชื่อคุณหนิง เธอจะดูแลเราตลอดทริป และภาษาไทยของเธอดีมากค่ะ ถึงมีวีซ่าฯมาแล้ว แต่เราทั้งสองคนก็ยังต้องรอให้ไกด์ทำเรื่องเอกสารผ่านด่านประมาณ 20นาที
ขึ้นรถแล้ว โปรแกรมวันนี้ไปวัดพู เมืองจำปาสักกันก่อน (Vat Phu, Champasak)ตอนนี้บ่ายสองนิดๆ คาดว่า ถึงวัดพูประมาณบ่าย3 จากนั้นก็ไปปักเซต่อเพื่อเช็กอินเข้าโรงแรมประมาณ 6 โมงเย็นที่โรงแรมAthina พวกเราขอเลือกโรงแรมนี้เอง รวมรวมแล้วห้องกว้างใหญ่สะอาดดีมากๆค่ะ ฮยู่ในเกรด 4 ดาว
จากนั้นก็ไปปักเซต่อ เพื่อเช็กอินเข้าโรงแรมประมาณ 6 โมงเย็นที่โรงแรมAthina พวกเราขอเลือกโรงแรมนี้เอง รวมรวมแล้วห้องกว้างใหญ่สะอาดดีมากๆค่ะ ฮยู่ในเกรด 4 ดาว ปักเซเป็นเมืองเล็กๆ คิดว่าอยู่ตรงไหนก็ใกล้ๆ กัน แต่ของเราก็ดีอย่างตอนเย็นตอนออกไปหาอะไรทานง่ายดี — อ่านทริปวันแรกนี้อย่างละเอียด คลิกเลย
วันที่ 2 วันนี้ขอให้ตื่นเช้าหน่อยเพราะจะเดินทางไปไกลมากคือไปคอนพะเพ็ง ใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงในการเดินทางพาไปถึงแล้วจะไป ดูน้ำตกหลี่ผี บนเกาะบ้านคอนดอนเดชซึ่งจะต้องขึ้นเรือข้ามแม่น้ำโขงแล้วขึ้นรถ 5 แถวเข้าไปดูกันค่ะ
จากดูน้ำตกหลี่ผีเสร็จแล้วขึ้นเรือขึ้นรถกลับมาที่เดิมเพื่อนั่งรถตู้ของพวกเราไปทานข้าวกลางวันมื้อเป็นมื้อที่รวมอยู่ใน package จากนั้นเดินทางต่อไปอีกนิดเพื่อดูน้ำตกคอนพะเพ็ง
จริงๆแล้วน้ำตกหลี่ผีกับน้ำตกคอนพะเพลงคล้ายๆกันคือเหมือนไนแองการา ซึ่งเป็นน้ำตกที่ถูกทำขึ้นโดยระเบิดของชาวฝรั่งเศส เมื่อครั้งลาวตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ที่จะทำทางเปิดเส้นน้ำเพิ่มขึ้นในแม่น้ำโขง ทั้งสองน้ำตกนี้เล่นน้ำไม่ได้ทั้งหน้าแล้งหรือหน้าน้ำค่ะเพราะว่าน้ำตกแรงมากๆ เขามีไว้ให้ชมวิวเท่านั้น กลับเราแว่ะดูชายแดนลาว-กัมพูชาด้วย โชคดีที่เขาอนุญาติให้เราเดินเล่นบริเวณใกล้ได้ เดินทางกลับไปยังโรงแรมใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเหมือนเดิมค่ะ —อ่านทั้งหมดของทริปวันที่2นี้
วันที่ 3 วันนี้โชคดีได้ตื่นสายหน่อยเพราะออกเดินทางกันประมาณ 9 โมงเช้าจากโรงแรมไปเที่ยวชมน้ำตก 3 น้ำตก ที่อยู่ในระยะใกล้ใกล้ไม่ไกลจากโรงแรมมากใช้เวลาประมาณ 30 ถึง 40 นาทีเท่านั้นโดยเริ่มที่น้ำตกตาดส้วม ที่นี่มีหมู่บ้านชนเผ่าลาวด้วยค่ะ จากนั้นก็ไปต่อที่น้ำตกตาดฟาน สองน้ำตกนี้ได้แต่ชมวิวเท่านั้น ไม่สามารถเล่นน้ำได้…
และน้ำตกที่สามของวันนี้คือ น้ำตกตาดเยืองซึ่งเป็นที่เดียวที่เราสามารถเล่นน้ำตกได้ และจะบอกว่าเป็นน้ำตกที่พวกเราประทับใจมากที่สุดในทริปที่ลาวใต้นี้ค่ะ
อ่านทริปวันที่ 3 เที่ยว 3น้ำตกในลาวใต้นี้ได้ที่นี่ คลิกเลย!
วันที่ 4 เป็นวันที่เรา จะเดินทางกลับประเทศไทยแล้ววันนี้ค่ะ เราเช็คเอาท์โรงแรมประมาณ 9 โมงเช้าค่ะ (จริงๆเราเช็คเอาท์ประมาณ 10 โมงก็ทัน เพราะไฟลท์เราประมาณ 6 โมงเย็น) ออกจากโรงแรมเราก็ไปเดินเที่ยวตลาดดาวเรืองกันแบบชิวชิว ตอนแรกเรานึกว่าเราจะได้ซื้อของที่นี่เยอะมากแต่จริงๆแล้วแทบจะไม่ได้ซื้ออะไรได้ค่ะแต่ก็สนุกดีได้เดินเล่นกันแบบไม่ต้องรีบ เดินทางกลับอุบลราชธานีจากปากเซใช้เวลาแค่ 40 นาทีก็ถึงช่องเม็กแล้วเราแวะซื้อของที่ดิวตี้ฟรีระหว่างที่ใกล้ของเราไปทำเรื่องพาสปอร์ตให้เราค่ะ (ทั้งดิวตี้ฟรี มีแต่กาแฟดาว โดยขนาด 600 กรัมแบบทรีอินวันราคา 100 บาทถ้วน…)
กลับมาที่อุบลฯ เป็นช่วงวันสุดท้ายของการโชว์เทียนแกะสลักเข้าพรรษาฯ พอดี พวกเราจึงแว่ะไปชมค่ะ ถือว่า มีบุญมากๆ จริงๆ ได้มีโอกาสดูของดังของเด่นของเมืองอุบลฯที่หนึ่งปีมีครั้งเดียวด้วยเลย อ่านทริปวันที่4ของพวกเราที่นี่เลย
จบทริปแล้วเรามีเรื่องเล่าจากลาวใต้ฯมากมาย…
ลาวใต้โด่งดังเรื่องกาแฟค่ะ กาแฟลาว ที่ดังๆอยู่ขณะนี้ ก็ไม่แพ้กาแฟดาว ของเจ๊ดาวเรืองหรือเจ๊ดาวผู้เป็นเจ้าของกาแฟดาวค่ะ เท่าที่ซื้อแบบ 3-in-1 ให้เพื่อนๆ ที่ออฟฟิสชิม บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า กาแฟดาวค่อนข้างอ่อน แต่หวานมาก
ส่วนจากการทดลองกาแฟเย็นที่ร้านในขณะที่เราอยุ่ในลาวใต้ วันแรกเราลองกาแฟ สีนุก แต่เราก็ยังว่ากาแฟเขาค่อนข้างอ่อน แต่ไกด์บอกว่าอันนี้อร่อยสุดแล้วถ้าเป็นกาแฟดั้งเดิม (แต่ไกด์ดื่มชาเขียวปั่นทุกวันเลยนะคะ 555)
วันต่อมาลองกาแฟที่ดาวที่ตั้งอยู่หน้าคฤหาสน์ของเจ๊ดาวเรือง คนมากันเต็มร้านเลยค่ะดูท่าทางยุ่งมากจนพนักงานจดรายการไม่ฟังอะไรที่เราพูดเลยวันนี้อุตส่าห์สั่งเป็นคาปูชิโน่ พูดย้ำ 2 ครั้งว่าไม่ใส่วิปครีมแต่เค้าก็ยังใส่มา เพิ่งรู้ว่าคาปูชิโน่คฤหาสน์เจ๊ดาวเขาใส่วิปครีม แทนฟองนม แต่ก็บอกว่าไม่ต้องใส่แล้วนะ เขาขายดีค่ะ ไม่สนใจ เขี่ยเอาวิปครีมออกเอามาให้เราเหมือนเดิม
ปล. เจ๊ดาวปลูกคฤหาสน์ใหญ่มาก แต่ร้านกาแฟเจ๊ดาว ไม่มีใครเช็ดตามผนังเลยเหรอค่ะ???
วันสุดท้ายเราลองกาแฟที่ Parisien ร้านนี้เป็นร้านสไตล์เบอ์เกอรี่ เปิดใหม่อยู่ตรงข้ามกับร้านสินุกที่เรามาซื้อวันแรก สรุปโดยรวมมีร้านนี้ ที่พนักงานตั้งใจทำงานและตั้งใจให้บริการกันสุดสุด กาแฟรสชาติใช้ได้เลยค่ะ ดูจากรูปก็น่าจะดูออกแล้วนะคะ ว่าเราชอบอันไหนมากกว่ากัน …ถ่ายรูปไม่ทัน ดูดเกือบจะหมดแล้ว!
ที่เราชอบอีกอย่างหนึ่งที่ลาวคือป้ายรถทะเบียนที่นี่จะบ่งบอกถึงการชำระเงิน เช่นป้ายทะเบียนสีเหลืองแปลว่าซื้อเงินสดหรือผ่อนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนป้ายทะเบียนสีขาวแต่ว่าซื้อเงินผ่อนและกำลังผ่อนอยู่ (ผ่อนหมดก็จะเปลี่ยนเป็นป้ายสีเหลืองให้) ส่วนป้ายสิอันอื่นอาจจะเป็นของหน่วยงานเช่นหน่วยงานรัฐบาลหรือผู้มีอำนาจค่ะ
ชาวอุบลฯและชาวดาวใต้นิยมทานเนื้อสุนัขซึ่งบางทีอาจจะมีเนื้อสุนัขขายด้วย แต่ก็เป็นเพียงบางทีที่เท่านั้น เขาบอกว่าเนื้อสุนัขย่างมีราคาแพง มีแต่คนมีเงินเท่านั้นค่ะที่จะทานกัน…มีเงิน แต่ไม่มีน้ำใจ
และที่ลาวใต้ก็ยังนิยมปลูกทุเรียน สับปะรด เงาะ ฯลฯ แต่ทุเรียนที่นี่จะรับประทานกันต่อเมื่อทุเรียนหล่นจากต้นเอง เค้าจะไม่เก็บเกี่ยวเหมือนคนไทยค่ะ ดังนั้นค่อนข้างจะนิ่มเละและมีกลิ่นแรงมาก ขนาดเราชอบทุเรียนก็ไม่ไหวกลิ่นค่ะ
เบียร์ลาวเป็นสินค้าหลักของชาวลาวและนักท่องเที่ยวเพราะมีแค่เบียร์ลาวยี่ห้อเดียวเท่านั้นจำหน่ายขายกันในประเทศลาว เจ้าของเบียร์ลาวถือว่าเป็นเศรษฐีอันดับ 1 ของประเทศลาวเช่นกัน เหตุเพราะคนลาวดื่มแต่เบียร์ไม่มีเหล้าให้ดื่มค่ะ เบียร์ลาวเป็นเบียร์อ่อนอ่อนมีปริมาณแอลกอฮอล์เพียง 5% เท่านั้น เรียกว่าคนลาวดื่มเบียร์แทนน้ำก็ว่าได้ เพราะจะดื่มเบียร์ลาวกันตั้งแต่ตื่นจนถึงก่อนเข้านอนเลยค่ะ และอีกอย่างคนลาวส่วนใหญ่ไม่สูบบุหรี่ จะเห็นได้ว่าสถานที่ที่เราไปจะมีป้ายห้ามสูบบุหรี่ทุกที่ ชอบมากๆเลยค่ะ อากาศก็สดชื่น หายใจได้เต็มปอดจริงๆ..
อาหารในเมืองปากเซ ถ้าไม่ใช่อาหารไทยก็จะเป็นอาหารลาว โดยเฉพาะส้มตำ(ตำบักหุ่ง) หรือไม่ก็จะเป็นแฮมเบอร์เกอร์หรือแซนด์วิชของฝรั่งไปเลย ในปักเซจะนีร้านดังดังอยู่แค่ 2 ร้าน ก็คือร้านดาวลินและร้านสบายดีปากเซ ถ้าเป็นอาหารจำพวกแซนด์วิชแฮมเบอเกอร์จะแนะนำที่ร้านสบายดีปากเซ แต่ถ้าเป็นอาหารไทยคิดว่าดาวลินทำได้ดีกว่าค่ะ ทั้งสองร้านจะเสิร์ฟข้าวหรือข้าวเหนียวเยอะมากและจะมี Free-Wifi ไว้ให้บริการค่ะ
แต่ที่ลาวใต้นั้นหากได้แว่ะร้านอาหารพื้นเมือง ต้องสั่ง ลาบปลา กับต้มปลาค่ะ อันนี้อร่อยจริง เป็นเมนูขึ้นชื่อของลาวใต้เขาเลยค่ะ
จบทริปไปเที่ยวลาวมีค่าใช้จ่ายดังต่อไปนี้ค่าเครื่องบินไปกลับคนละ 6000 บาทค่าทัวร์ค่า package คนละ 14,400 บาทซึ่งรวมตั้งแต่รถตู้มารับที่สนามบินและพาไปเที่ยวทุกที่ในลาว รวมค่าที่พักโรงแรม Athina ซึ่งมีอาหารเช้าทุกมื้อที่โรงแรมอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังรวมค่าทางด่วน รวมค่านำรถเข้าลาว และรวมเรื่องค่าใช้จ่ายค่าสถานที่ท่องเที่ยวทุกที่ในลาวใต้ตามโปรแกรมที่เราไป สรุปจะมีเพียงแค่ค่า Shopping กับค่าอาหารค่ำที่พวกเราต้องจ่ายเพิ่มเองเท่านั้นค่ะ แต่รวมๆ แล้วเราก็เตรียมเงินไทยไปอีกห้าหกพันเท่านั้น
Sent from my iPhone
DATE: 30 July – 2 Aug 2015