ทริปมาเยี่ยมคุณพ่อที่ซีแอตเทิลครั้งนี้เราไม่ได้วางแผนที่จะเที่ยวมากนักเพราะตั้งใจจะมาเยี่ยมคุณพ่อของคุณทิมจริงๆ แต่ก็ตั้งใจไว้ว่าจะแว่ะเข้าไปในตัวเมืองซีแอตเทิลสักวันหนึ่ง
โดยตั้งเป้าหมายที่ตลาดไพค์ (Pike’s Market หรือ Public Market) เพราะว่าเราชอบชิม และชอบช็อป เราจึงเลือกมาที่นี่มากกว่าที่จะไปดาวน์ทาวน์ซีแอตเทิ้ล (ซึ่งก็ไม่ไกลจากกันมาก)
English Version
ตลาดไพค์นี้ ถ้าเป็นที่เมืองไทยก็มีเกือบทุกมุมเมือง แต่สำหรับอเมริกานับว่าหายากมาก กับรูปแบบตลาดที่มีลักษณะแบบopen air
จากบ้านคุณพ่อ เราสามารถขับรถมาที่ตลาดนี้ได้เลย แต่ทางคุณแม่เลี้ยงบอกว่าอยากให้ลองขับรถไปขึ้นเรือเฟอรี่เพราะวิวสวยมาก
ไม่ว่าจะเลือกไปโดยการขับรถหรือขึ้นเรือเฟอรี่ ไปซีแอตเทิ้ลนั้น ใช้เวลาไม่แตกต่างกันคือประมาณประมาณ 1 ชั่วโมงแต่ทิมอยากขึ้นเรือเฟอรี่ ซึ่งเป็นความชื่นชอบปกติของเค้า..
ตารางเรือเฟอรรี่ สามารถเช็คผ่านเว็บไซต์ http://www.wsdot.wa.gov/ferries/เราเริ่มเดินทางในตอนเช้า ขับรถไปขึ้นเรือเฟอรี่เที่ยวเช้าตอน 9.45น ที่ท่า Bremerton พวกเราขับไปถึงท่าเรือฯเวลาฉิวเฉียด คือเพียง 10 นาทีก่อนที่เรือเฟอรี่จะออก
ถ้าท่าเรือเฟอรี่ไม่เต็มเราก็สามารถจะต่อคิวขึ้นเรือได้ตลอด โดยมีค่าใช้จ่าย คิดเป็นต่อคันรถ คันละ 15 เหรียญเท่านั้น
เมื่อขึ้นไปบนเฟอรี่แล้ว ก็จะมีที่นั่งให้เลือกตามสบายมากมาย มีร้านขายของทานเล่น เครื่องดื่มกาแฟอยู่ด้านบนของเรือ
เรามาตอนหน้าหนาวพอดี เลยไม่มีใครมายืนชมวิวด้านนอกเลย
เวลาเดินทางบนเฟอรี่ประมาณ 1 ชั่วโมง พอเรือฯจอดที่ท่าเรือซีแอตเทิล เราก็ขับตรงออกไป เพื่อไปจอดรถที่ตลาด (Public Market Parking Garage) โชคดีวันนี้รถไม่เยอะ เราก็เลยได้ที่จอดรถ
มันดีตรงที่จากโรงจอดรถเราสามารถขึ้นลิฟท์แล้วเดินเข้าตลาดได้เลย เพราะเป็นทางเชื่อมต่ออาคารติดกัน
ตลาดไพค์ มีสินค้ามากมาย โดยเฉพาะผักผลไม้ และอาหารซีฟู้ด และด้วยความที่พวกเราไม่ได้ทานข้าวเช้ามา พอมาถึงปุ๊บเราก็หิวปั๊บ เห็นร้านอาหาร Lowell’s เลยกระโดดเข้าไปหาอะไรทาน
มันเป็นการเลือกแบบสุ่มๆแต่โชคดีเพราะปรากฏว่า ซุป Clam Chowder ที่นี่เป็นซุปที่อร่อยที่สุดเท่าที่พวกเราลองทาน เพราะอุ่นกำลังดี เข้มข้น หวานมันและมีเนื้อหอยเยอะมาก
แต่พอกลับมาแล้วอ่านเจอว่าซุป Chowder ที่อร่อยที่สุดและได้รางวัลชนะเลิศนั้นอยู่ที่ Pike Place Chowder ซึ่งเราไม่ได้มีโอกาสชิม แต่เราสามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้
เมื่อทานอาหารเสร็จเราก็มีแรงเดินชมตลาดต่อ อย่างที่บอกว่า โดยส่วนใหญ่ที่ต้องตาต้องใจมากก็คืออาหารทะเล อย่างเช่นปลาแซลมอน กุ้งหอยหรือแม้กระทั่งปูอลาสก้าซึ่งมีขนาดใหญ่ เราไม่สามารถจะหาซื้อได้ทั่วๆไปในอเมริกา อย่างที่เรารู้ว่ารัฐวอชิงตันนี้อยู่ติดกับมหาสมุทรอลาสก้า บางร้านให้เราชิมปลาแซลมอนด้วย อร่อยมาก!
เสียดาย อยากซื้อกลับบ้าน…
พ่อค้าขายอาหารทะเลที่นี่ก็คึกคัก บางร้านก็มีการส่งเสียงเรียกลูกค้า หรือนักท่องเที่ยวด้วย
เดินไปจนสุดทางจะเป็นร้านขายหนังสือเมื่อมองออกไปที่ตึกฝั่งตรงข้ามจะเห็นร้านสตาร์บัคส์ ตอนแรกนึกว่าจะเป็นร้านสตาร์บัคส์ร้านแรกของโลก แต่พอเดินเข้าไปแล้วเงียบมาก เงียบจนผิดสังเกต ไม่เหมือนกับที่อ่านรีวิวก่อนจะมาว่าคนต่อแถวนานมาก เลยทำให้แน่ใจว่านี่ไม่ใช่ร้านสตาร์บัคส์ร้านแรกของโลก
พวกเราเดินกลับเข้ามาที่ตลาดไพค์อีกครั้ง ซึ่งขามาเราเดินผ่านร้านโดนัทร้านเล็กๆ แต่ทำทอดกันสดๆ นี่ถ้าเป็นประเทศไทยร้านโดนัทแบบนี้มีเกลือนทั่วไปตามตลาดหรือซอยต่างๆในกรุงเทพ แต่ในอเมริกาไม่ค่อยมี ร้านแบบนี้จึงขายดีมาก มีคนต่อแถวยาวมาก เราบอกคุณทิมว่า จะซื้อตอนขากลับบ้าน แต่พูดยังไม่ทันเสร็จ หาคุณทิมไม่เจอ เพราะแกไปยืนต่อแถวแล้ว!
ยืนต่อแถว 20นาที กว่าจะได้โดนัทสองโหล ซึ่งตกโหลละ 150-200 บาทในกรุงเทพน่าจะประมาณแค่ 50บาท…
ต่อจากนั้นตามหาร้านสตาร์บัคส์ร้านแรกของโลก เพราะที่นี่คือต้นกำเนิดร้านสตาร์บัคส์ โดยเดินกลับไปทางเดิมจนเกือบสุดตลาดจะเห็นทางออก และเมื่อมองออกไป จะเห็นร้านชีส Beecher’s ร้านที่ทำชีสกันสดๆ
จริงๆเราเป็นคนชอบทานชีสมาก (แต่ก็กลัวคลอเลสเตอรอล) แว่ะซื้อ Curds มากระปุกนึ่ง เป็นชีสทานเล่นๆ แต่จริงๆถ้าไม่อิ่ม เราอยากให้ลอง แมคกาโรชีสของที่นี่
ข้ามถนนเล็กๆ Steward St. จะเห็นร้าน สตาร์บัค ก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือร้านสตาร์บัคร้านแรกของโลก เพราะคนต่อแถวยาวมาก ยาวออกมานอกถนน เราตัดสินใจยืนต่อแถวแม้ว่าจะหนาวมาก
เราสองคนใช้เวลาต่อแถวกว่า 1 ชั่วโมง ได้ซื้อแก้วสตาร์บัคที่เขียนว่าแก้วจากตลาดไพค์ ว่าเป็นสตาร์บัคแห่งแรกของโลกที่เปิดเมื่อ ปีค.ศ 1971 หรือ พ.ศ. 2514 ซึ่งเขาก็เก็บรูปแบบโลโก้เหมือนนางเงือกมีหางสองแฉกไว้
กลับมาแล้ว ก็ไม่เสียใจที่ไปยืนต่อแถว เพราะว่าถ้าไม่ได้ต่อแถวก็อาจจะเสียดาย แต่จริงๆ ตอนต่อแถวก็เสียใจเพราะว่านานมาก แม้ในร้านสตาร์บัคมีพนักงานหลายคน แต่ส่วนใหญ่เป็นพนักงานรับออเดอร์ไม่ใช่พนักงานชงกาแฟ ร้านทั้งร้านมีคนชงกาแฟแค่2คน ที่ต้องชงให้คนเป็น 100คน มันก็ต้องรอนานอยู่แล้ว
มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง กระโดด ดีใจมากตอนที่เขาเรียกชื่อ ว่าได้เครื่องดื่มแล้ว…
จริงๆน่าจะเพิ่มจำนวนคนชงกาแฟ แต่นี่อาจจะเป็นกลเราวิธีทางการตลาดของเค้าก็ได้ เพราะว่าการที่แถวยาวต่อยื่นยาวออกไป ยิ่งทำให้คนอยากลอง
ตอนแรกนึกว่าเมนูที่นี่จะต่างจากร้าน Starbucks แต่เมนูกาแฟทุกอย่างเหมือนกัน เราไปก็เป็นช่วงคริสต์มาสเราสั่ง BW mocha อย่างที่เรารู้ว่าช่วงเทศกาล Starbucks จะออกเครื่องดื่มรสชาดพิเศษ
เราไม่ใช่แฟนพันธ์ุแท้สตาร์บัค เพราะตอนอยู่ประเทศไทย เราคิดว่าแพง เลยไม่ค่อยได้ดื่ม นี่เราก็เพิ่งรู้ว่าการออกเสียงแก้วขนาดใหญ่คือ Grande ออกเสียง “กรอนเด” ไม่ใช่ “แกรนเด” เพราะเป็นภาษาอิตาเลี่ยน แปลว่า ขนาดใหญ่ “Large”
จะว่าไป ร้านสตาร์บัคที่ซีแอตเทิ้ลนั้นเยอะมาก เยอะมากพอๆ กับ 7-11 ใน กรุงเทพฯ แต่พอไปเช็คมาแล้ว ในอเมริกานั้น รัฐที่มีร้านสตาร์บัคมากที่สุดคือ นิวยอร์ค (https://www.statista.com/statistics)
มีอีกร้านหนึ่งข้างๆ ร้านสตาร์บัคนี้ คือร้าน Piroshky Piroshky เป็นร้านเบเกอรี่ แบบอิตาเลียน แต่คนต่อแถวยาวมาก อยากลองแต่เห็นแถวแล้วท้อใจมากเพราะเราเสียเวลากับการต่อแถวไปเยอะแล้ว
สุดท้ายที่ตลาดไพค์นี้ ที่เราอยากไปอีกที่หนึ่ง คือกำแพงหมากฝรั่ง Gum Wall คือเป็นกำแพงตึกแล้วมีคนเอาหมากฝรั่งไปติด
จริงๆ กำแพงนี้อยู่แถวๆ ร้านโดนัท สังเกตจากด้านหน้าตลาดที่มีป้ายตลาด เราซื้อหมากฝรั่งที่ร้านขายหนังสือ อันละ 1 เหรียญ ซึ่งก็เป็นราคาปกติ แล้วเดินไปข้างหลังร้านหนังสือ (ด้านหน้าของตลาด) จะมีทางลาดลงไป
เราเดินลงไปแล้วทางซ้ายมือจะเห็นคนเยอะมาก และนั่นก็คือกำแพงหมากฝรั่ง ที่เต็มไปด้วยหมากฝรั่งมากมาย สีสันต่างๆ บ้างก็ทำเป็นตัวหนังสือ บ้างก็ทำเป็นรูปร่างต่างๆ
ความจริงอยากปั้นหมากฝรั่งเราบ้าง แต่ด้วยความที่คุณทิมขยะแขยง 555
นี่ขนาดเขาล้างไปรอบหนึ่งเมื่อปี 2558 (ค.ศ2015) แล้วนะคะ และก็เป็นการล้างครั้งยิ่งใหญ่ในรอบ 20 ปีเลยทีเดียว โดยเพื่อป้องการกันพังทลายของผนังจากปริมาณน้ำตาลจำนวนมากบนหมากฝรั่งค่ะ ซึ่งใช้เวลาล้างกันถึง 130ชม และได้ซากหมากฝรั่งทั้งหมดถึง 1,070 กิโลกรัม หรือประมาณ 2,350 ปอนด์เลยค่ะ
Ref: https://www.hindustantimes.com
นี่แค่ 2 ปีต่อมาเองนะเนี่ย ก็เรียกว่ามีหมากฝรั่งบนกำแพงเยอะมาก (เหมือนไม่เคยถูกล้างมาก่อน) แต่กำแพงสูงมากขนาดนี้ คนที่ติดหมากฝรั่งได้สูงๆ นี่เขาปีนขึ้นไปยังไงนะเนี่ย? และ ใครเป็นคนเริ่มคนแรกเลยเนี่ย?
เที่ยวตลาดจนสมใจแล้ว ยังมีเวลาที่จะไปต่อได้อีก เพราะว่าเพิ่งจะบ่ายต้นๆ เลยลองถามกันว่าจะไปที่ดาวน์ทาวน์หรือไปที่ไชน่าทาวน์ดี คุณทิมยังติดใจไชน่าทาวน์ที่นิวยอร์กแกเลยบอกว่าไปไชน่าทาวน์
จากตลาดขับรถออกไปถนนใหญ่ประมาณ 15 นาที พอถึงไชน่าทาวน์ก็ดูไม่ออกว่าตรงไหนคือไชน่าทาวน์ แต่ต้องหาที่จอดรถก่อน
ไม่ชอบที่จอดรถที่ต้องหยอดเงินแบบนี้เลย หยอดผิดหยอดถูก เอาคืนไม่ได้…
รอบตัวไชน่าทาวน์ปรากฏว่าไม่มีอะไรเลย ร้านนวดก็สไตล์ฝรั่งและราคาฝรั่ง ไม่เหมือนที่นิวยอร์กเลย
กระโดดเข้าไปในซุปเปอร์มาร์เก็ตก็ไม่มีความเป็นAsian เลย เราเดินวนไปมาไม่เกิน 1 ชั่วโมงก็ตัดสินใจกลับ ไม่มีอะไรเลยจริงๆ เหมือนสำหรับคนอยู่อาศัยกันเองเท่านั้น สำหรับนักท่องเที่ยว ถ้าไม่อยากเสียเวลา อย่าไปเลยค่ะ
เราก็เสียดาย น่าจะไปที่ดาวน์ทาวน์ Seattle ดีกว่า
แต่จากไชน่าทาวน์ เราก็เปิด navigator แล้วขับรถกลับบ้านเลย ไม่ได้นั่งเฟอรรี่กลับ…
ถ้ามา Seattle ต้องไม่พลาด ตลาดไพค์นะคะ และถ้าหากเรามีโอกาสได้กลับมาอีกจะลองซื้อทัวร์ชิมอาหารดังๆ ของตลาดนี้..
Traveled date: 26 Dec 2017