เวลาผ่านไปเร็วมากเลยนี่เกือบ 2 ปีแล้วที่เราไปเที่ยวสิงคโปร์มา
แต่ครั้งนี้เรียกว่าเป็นทริปสั้นๆ เพราะรู้และเตรียมการเพียงแค่ 1 อาทิตย์เท่านั้นเราก็เดินทางไปเที่ยวเลยค่ะ และมันเป็นทริปสั้นๆ จริงๆค่ะเ พราะว่าพักแค่ 2 คืนเท่านั้น แต่ถึงแม้จะสั้นเราก็อัดแน่นเต็มที่ อย่างน้อยๆ เราก็ได้ไปทานมื้อค่ำแว่ะชมวัดที่ลิตเติ้ลอินเดีย ช้อปปิ้งที่ออชาร์ด และ เดินเล่นชมวิวยามค่ำที่มาริน่าเบย์
ก็ค่าตั๋วเครื่องบินก็เกือบ 10,000 บาทแล้ว จะเหนื่อยจะตายยังไงก็ขอเที่ยวให้คุ้มค่ะ
แต่ที่น่าเสียดาย คือทริปครั้งนี้มีเพียงแค่ 1 วันเต็มๆเท่านั้น จริงๆ โดยเราเดินวันศุกร์ออกจากกรุงเทพประมาณบ่าย 4 โมงมาถึงสิงค์โปร์เวลาประมาณเกือบ 1 ทุ่ม เวลาบินประมาณ 2 ชั่วโมงกับ 25 นาที (แต่เวลาที่สิงค์โปร์เร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง) และครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่บินกับสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ เป็นเครื่องบินโบว์อิ้ง 777 ลำใหญ่มากชอบและประทับใจที่สุด คือตอนที่เรียกขึ้นเครื่อง ที่สนามบินสุวรรณภูมิ สายการบินนี้จะเปิดเสียงที่บันทึกไว้เรียกผู้โดยสาร ทำให้ได้ยินชัดเจนและต่อคิวกันได้ถูกต้อง การเดินเข้าขึ้นเครื่องบินไม่วุ่นวายดีค่ะ แถมเขามีป้ายเรียกแบบตามแถวที่นั่งแบบมีระบบระเบียบ เฮ้ย ทำไมสายการบินไทยอื่นๆ คิดไม่ได้อ่ะ บางสายการบินฯ เวลาเรียกขึ้นเครื่องต้องขึ้นอยู่กับอารมณ์ผู้เรียกด้วย บางคนพูดเหมือนไม่เต็มใจค่ะ…จริงๆ ลองขึ้นดูหลายๆ เครื่อง จะรับรู้ว่าเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ มันก็สำคัญกับสภาพจิตใจคนเดินทางค่ะ
แถมจะบอกว่าอาหารบนเครื่องบินสิงคโปร์นั้นอร่อยกว่าสายการบินไทยอีกด้วยค่ะ หรือจะเป็นเพราะว่าเรากำลังหิวก็ไม่รู้!!!
เมื่อเดินทางมาถึงสิงคโปร์แล้วตอนนี้สนามบินของเค้ามีถึง 3 เทอร์มินอล บ้านนอกๆ แบบเราเวลาเดินทางคนเดียวจะงง นิดนึง ไม่รู้ว่าจะต้องไปอาคารไหน รู้ว่าเราต้องตรงดิ่งไปเทอร์มินอล arrival เท่านั้น
ถ้าไปถูก เราจะถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองก่อน ที่สำคัญอย่าลืมกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน แต่ครั้งนี้เราลืมชื่อโรงแรม เค้าก็เลยกักเราจนกว่าจะสามารถหาชื่อโรงแรมมายืนยันให้เขาได้ แหม เสียเวลาไปเกือบเกือบครึ่งชั่วโมงเลยนะคะ แต่กะว่าเดินออกมารถโรงแรมฯ ก็มารอรับตามที่ได้นัดหมายไว้ แต่เค้าไม่มารับค่ะ ไม่รู้ว่าสื่อสารกันยังไง คราวนี้เลยจำชื่อโรงแรมได้แม่นเลย ไอ้โรงแรม Albert Court (Village Hotel Albert Court by Far East Hospitality)!!! ขฮโทษทีนะคะ ที่หยาบคาย สุดท้ายเราต้องไปต่อคิวขึ้นรถแท็กซี่ ซึ่งแถวยาวมากกกกกกกกกกกกกกกกก โมโหไหมล่ะจุดนี้ กะว่าถึงโรงแรมแล้ว ลงรถแล้วจะขอคุยกับผู้จัดการสักหน่อย
ปรากฏว่าทางผู้จัดการขอจ่ายเงินค่าแท็กซี่ให้เพื่อเป็นการชดเชยที่ไม่ได้ไปรับ แต่สุดท้ายพวกเราไม่ได้ทวงก็ไม่ได้ค่ะ บอกตรงๆว่าไม่ประทับใจกับผู้จัดการคนนี้เลยเค้าน่าจะแสดงความรับผิดชอบมากกว่านี้ คือมันหมดความน่าเชื่อถือค่ะ เพราะตอนจอง เพื่อนเขาเดินไปจองเองที่เค้าเตอร์ มันไม่น่าผิดพลาด และจองล่วงหน้าวันนึงด้วย ไอ้วันสุดท้ายที่จะเดินทางกลับ เราก็จองรถกับโรงแรมไว้ แต่ก็กลัวว่าเขาจะไม่ไปส่งเราที่สนามบินฯ ต้องคอยเช็คและตื่นแต่เช้ามาก่อนเวลา เผื่อเขาไม่ส่งรถมาจะได้มีเวลาเผื่อไปหาแท็กซี่ คือขาดความมั่นใจไปโดยปริยายกับโรงแรมนี้ …
สรุปงานนี้เสียทั้งเวลาและเสียค่าแท็กซี่ไปประมาณ 25 เหรียญสิงค์โปร์ เทียบเป็นเงินไทยก็ประมาณ หกร้อยกว่าบาท จะว่าไปก็ถูกกว่ารถโรงแรมแน่ๆ แต่ว่ามันเจ็บใจค่ะ คนยิ่งมีเวลาน้อยๆ อยู่
เรื่องมันผ่านไปแล้วตอนนี้เราทำได้แค่ว่าโรงแรมนี้ เราจะไม่เข้าพักอีกตลอดชีวิตในการไปเยือนสิงคโปร์อีกตลอดไป!!! นอกจากทำเลก็งั้นๆ (อยู่หลังตลาดบูกิส แต่ใกล้สถานี ลิตเติ้ลอินเดีย(ทางออกA) อาหารเช้าก็เบสิค ง่ายๆไข่ดาว ไข่เจียว ขนมปัง น้ำผลไม้ ชา กาแฟ ส่วนห้องพักก็กว้างขวางอยู่(ถ้าเทียบกับที่อื่นในสิงค์โปร์ที่ราคาเท่าๆกัน)
เดี๋ยวค่อยกลับไปบ่นที่เมืองไทย เพราะตอนนี้ที่สิงค์โปรก็ปาเข้าไป 3 ทุ่มแล้ว ออกไปข้างนอกดีกว่า โดยเลือกไป ลิตเติ้ลอินเดีย (Little India) เพียงเดินออกมาจากโรงแรมแค่ไม่กี่ทางแยก ไม่ไกลมากเราก็ถึงย่านที่เค้าเรียกว่าลิตเติ้ลอินเดีย ถนนสายนี้มีชื่อเสียงค่ะเรียกว่าถนนซารากูน (Saran goon)
แค่เดินเข้ามาไม่กี่ก้าวเราก็รู้สึกรู้ถึงกลิ่นอายของความเป็นอินเดีย เพราะว่ามีเสื้อผ้าและเครื่องประดับตกแต่งมากมายในสไตล์ของชาวอินเดียจ่ะนายจ๋า เดินเข้าไปอีก ว่าจะต้องมีวัดอยูบริเวณนี้ เพราะมีดอกไม้ขายกันเยอะแยะ โดยเฉพาะพวงมาลัยซึ่งมีลักษณะแปลกแตกต่างจากประเทศไทยพาทำจากดอกกุหลาบเป็นส่วนใหญ่แลมัดเป็นพวงหลายสี สวยดี วัดอินเดียที่นี่ดูแล้วคล้ายๆ กันกับครั้งที่เรามาสิงค์โปร์คราวที่แล้ว เพราะว่าเราไปทั้งวัดอินเดียที่บูกิส (จริงๆ ไม่ไกลจากตรงนี้) และอีกที่ที่ไชน่าทาวน์ แต่ที่ลิตเติ้ลอินเดียจะดูเล็กกว่า
เข้าไปดูเขากำลังทำพิธีกรรมเลยค่ะ ไม่แน่ใจว่าอันนี้เรียกว่าพิธีกรรมบูชาไฟหรือเปล่า??? วัดของอินเดียจะมีรูปปั้นมากมายอยู่ทางด้านบนและมีสีสันสวยงามทำให้เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยว
จากนั้นเราก็ข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามของวัด มือค่ำวันนี้อยากลองทานอาหารอินเดียดู จึงแวะที่ร้านนี้เพราะว่าเขามีใบรับประกันของ Tripadvisor ว่าร้านนี้เขาได้รับความนิยมสูงสุด เห็นหน้าตาเราเนียนๆ ไปทางแขกๆ แบบนี้แต่เราไม่สันทัดอาหารอินเดียเลยนะคะ ดึงนั้นเราเลยสั่งกันแบบสุ่มๆ ค่ะ อย่างเมนูนี้เรียกว่าอะไรไม่ทราบ แต่ว่ามาเป็นถาดใบตองเลย คนพื้นเมืองจะใช้มือทานค่ะ แต่เราขออนุญาตใช้ช้อนกับส้อมก่อนนะคะเพราะว่าทานยังไม่เป็นค่ะ
แปลกตรงที่ว่าเราสั่งแกงไก่ซึ่งเข้มข้นมาก แต่เค้าถือน้ำแกงมาอีก2-3อย่างบอกว่าให้มาตักราดแกงไก่ค่ะ แล้วเราลองราดทั้งสามอย่าง มันก็รสชาดเดียวกันเลย คือราดแล้วราดอีกหรือไงไม่ทราบค่ะ…แต่เชื่อไหมค่ะ มื้อนี้เราสองคน ราคาเบาเบาไม่เกิน 400 บาทค่ะ
จบทัวร์วันแรก แบบฝังใจเจ็บกับการผิดนัดของโรงแรมจริงๆ
แต่ไม่เป็นไร วันต่อมา น้องอ้อน้องคนเก่งที่มาทำงานที่นี่พาพวกเราไปShopping ที่ถนนออชาร์ดซึ่งเป็นถนนShopping ชื่อดังที่ใครไม่ไปก็เรียกว่าช็อปไม่เป็น
โปรแกรมวันที่สองนี้เลยไม่มีอะไร แค่เดิน Shopping และทานข้าวบ่าย ที่ Hard Rock แล้วก็ Shopping ต่อ555
ลืมบอกว่าทุกครั้งที่ออกไปชอปในสิงคโปร์อย่าลืมนำเอาพาสสปอร์ตไปนะคะเพราะว่าบางร้านจะได้ส่วนลด บางร้านก็ยังได้คืนภาษี(ที่สนามบิน)
มีช่วงเบรคไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่อีกรอบ (ถ่ายรูปจะได้ดูเหมือนมาหลายวัน) แล้วเดินเล่นถ่ายรูปกับเมอร์ไลอ้อน ที่มาริน่าเบย์ค่ะ
ที่นี่ก็คงเป็นที่ที่นักท่องเที่ยวรุมถ่ายรูปกับเจ้ารูปปั้นครึ่งสิงโตครึ่งปลา ที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากพ่นน้ำ ตอนนี้ ท่ากินน้ำใตัศอก เฮ้ย อ้าปากกินน้ำต่อจากสิงค์โตกำลังเป็นที่นิยม
หรือถ่ายรูปกับแสง สี จากตึกมาริน่าเบย์ ก็เก๋ไปอีกแล้ว (คือไม่มีอะไรทำมากไปกว่านี้แล้ว…)
ขอจบทริปนี้แบบไม่มีอะไรมากค่ะ เพราะพรุ่งนี้เดินทางกลับแต่เช้า ยังคิดอยุ่ถ้าเราได้อยู่ต่อจะทำอะไรได้ ก็อย่างอื่นเราไปมาหมดแล้ว แล้วเมืองเขาก็เล็กแค่นี้ แต่ก็ดีค่ะ ถือว่าได้มาเจอเพื่อน…
วันที่เดินทาง 21-23 สิงหาคม 2558
(เดี๋ยวจะทยอยใส่รูปเพิ่มนะคะ)