ไต้หวัน วันที่2 อุทยานหินเหย่หลิว, ถนนโบราณจิ่วเฟิ่น

วันนี้นั่งรถเมล์ไปนอกเมืองไทเปไม่ใกล้ไม่ไกล ที่อุทยานหิน(ประหลาดๆ) เหย่หลิว Yehliu แต่เหมือนคนละทางเดียวกันเราเลยไปต่อที่ถนนโบราณจิ่วเฟิ่น Jiufen (คล้ายๆตลาด) ทัวร์กันเองแบบนั่งรถเมล์ไม่ง้อไกด์ ไม่ง้อทัวร์ เจอแท็กซี่ไม่น่ารัก แต่ค่าเสียหายเล็กน้อย แอบงงมากกว่า…(English Version: Taiwan Day 2 Yehliu Geopark and Jiufen, the old market street)




เริ่มต้นวันใหม่ วันที่สองของพวกเราที่ไต้หวัน วันนี้อย่างที่บอกค่ะ ว่าเราจะนั่งรถเมล์ของไต้หวันไปเที่ยวนอกเมืองไทเป (ทริปวันนี้ รถไฟฟ้าใต้ดินไปในไทเปไม่ถึงค่ะ) ไม่ต้องบอกเลยว่าระหว่างรถเมล์ไทยกับรถเมล์ที่ไต้หวันมันแตกต่างกันยังไง บอกได้แค่ว่ารถเมล์ที่ไต้หวันเค้ามีระเบียบเรียบร้อยสะอาด คนขับรถดีมีน้ำใจและขับรถถูกกฏจราจร แถมมีตารางและค่อนข้างตรงเวลาด้วยค่ะ หรือถ้าจะช้าไปบ้าง แต่ก็ไม่เกิน 1- 2 นาที

ก่อนอื่นพวกเรานั่ง MRT ไปลงสถานี Zhongxiao Xinsheng สายสีน้ำเงิน ออกประตูสาม แล้วก็มารอรถเมล์สาย 1815 ค่ะ

yehliu_101

ค่าโดยสารเพียงคนละ 96 เหรียญไทเป (ไปกลับก็แค่คนละประมาณ 200 บาท) โปรดซื้อบัตร Easy Card ไปนะคะ คนขับรถเขาไม่มีตังค์ทอนค่ะ ใช้บัตร Easy Card สแกนขึ้นและก็สแกนตอนลง
yehliu_104-2
โชคดีที่พกสายชาร์จมา เพราะเขามีรู USB บนรถเมล์ให้เสียบชาร์จได้ด้วยค่ะ
อ่านรีวิวเกี่ยวกับรถเมล์ในไต้หวัน บางคันก็มีทีวีทุกแถวที่นั่ง บางคันก็มีแค่จอเดียวด้านหน้า แต่ส่วนมากเขาจะมีตัววิ่งบอกว่าถึงป้ายไหนด้วยค่ะ บางคันก็มีแต่ภาษาจีน แต่เราโชคดีคันนี้มีภาษาอังกฤษด้วย

yehliu_103-2
แถมเราก็เจอกลุ่มคนไทยบนรถ(ที่พูดภาษาจีนได้)ด้วยค่ะ ดีเลยไปทางเดียวกัน ไม่หลงแน่ๆ เห็นไหมค่ะ ใครๆ ก็เลือกที่จะขึ้นรถเมล์ ถูก และ ดี นั่งรถแบบเพลินๆ จากไทเปใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้นเราก็มาถึงเหย่หลิวค่ะ
yehliu_107
รถเมล์เขาจอดสนิทค่ะ (รถเมล์ไทยเวลาจอดป้าย ล้อยังหมุนอยู่ น่ากลัว) เดินลงรถแล้วเดินย้อนป้ายรถเมล์ไปนิดนึง จะมีทางเดินทางเข้า โอกาสหลงแทบจะไม่มีเลยค่ะ

อุทยานเหย่หลิวตั้งอยู่บริเวณแหลมที่ยื่นออกไปในแถบทะเลจึงไม่แปลกว่าบริเวณแห่งนี้จะมีอาหารทะเลขายเยอะมาก แต่ว่าคงจะได้กินยากค่ะ เพราะทักษะในการพูดภาษาจีนเรานั้นไม่มีเลย แถมเราจะเก็บท้องไว้ชิมอาหารที่จิ่วเฟิ่นตอนบ่ายๆค่ะ ที่นี่มีเรือชาวประมงจอดเต็มไปหมดตลอดทาง เราก็เดินตามทางสีเขียวเข้าไปเลยนะคะ

yehliu_113
ก่อนอื่น ไปหาซื้อบัตรก่อนเลยค่ะ บัตรเข้าชมอุทยานฯสำหรับผู้ใหญ่อย่างพวกเราบัตรราคา 80 บาทเท่านั้น ทางเข้าอุทยานฯจะอยู่ด้านบนที่ขายตั๋วนะคะ เดินขึ้นไปแล้วเดินตรงไปเข้าไปเรื่อยเรื่อยแล้วค่ะ
yehliu_109

ตอนนี้ฟ้าสดใส เราเห็นผู้คนต่างต่อคิวถ่ายรูปกับหินเศียรพระราชินีเป็นแถวยาวมาก พวกเราเลยเดินสำรวจต่อไปเรื่อยๆให้สุดไปทางก่อน
yehliu_108
แต่เดินยังไงก็ไม่สุดปลายทางค่ะ สูงสุดที่นี่มีเป็นจุดชมนกให้พวกเราเดินขึ้นไปชมวิวที่สูงที่สุดของอุทยานที่ Lighthouse ใช้เวลาเดินเกือบครึ่งชั่วโมง!!! บอกเลยว่าเหนื่อยมาก แอบใช้แรงงานผู้สูงวัย หลังๆสังเกตว่า ไม่มีใครเดินตามพวกเรามาเลยค่ะ 555

เดินลงกลับมาเพื่อที่จะกลับไปดูและถ่ายรูปกับหินเศียรพระราชินี คราวนี้แถวโล่งเลย เพราะว่าฝนตก แต่อย่างที่บอกว่า ฝนที่นี่ นึกจะตกก็ตก นึกจะหยุดก็หยุด ดังนั้นอย่าลืมพกชุดกันฝนหรือร่มมาด้วยนะคะ  พอฝนซา เราก็ได้ถ่ายรูปกับชุดกันฝน หุหุ เก๋ไก๋ไปเลยค่ะ…

 

หินเศียรพระราชินีได้รับความนิยมต่อนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก อีกทั้ง หินเศียรพระราชินีนี้ คนที่ไต้หวันเขาก็แอบเสียวๆ เพราะว่าส่วนคอนั้นรับน้ำหนักส่วนเศียรอยู่ ซึ่งมีโอกาสจะแตกหักได้ในอนาคตดังนั้นเขาจึงจัดระเบียบด้วยการให้ทุกคนยืนต่อแถวเพื่อที่จะถ่ายรูป และคอยดูแลเป็นพิเศษ  ส่วนหินรูปร่างอื่นๆ สามารถเดินถ่ายรูปได้ตามความพอใจ บริเวณรอบๆของอุทยานแห่งนี้จะมีเจ้าหน้าที่ยืนอยู่เป็นจุดๆ และจะคอยดูแลความเรียบร้อย ความปลอดภัย บางโซนจะมีเส้นกั้นไม่ให้เดินข้ามเส้นเพื่อความปลอดภัยของทุกๆคนนะคะ

yehliu_110
ถ้าชื่นชอบธรรมชาติแบบนี้ มาไต้หวัน ก็ไม่ควรพลาดที่นี่นะคะ

จริงๆ ที่นี่มีหลายโซน มีการแสดงโชว์ด้วยแต่เราไม่ได้เข้าไปดู บริเวณด้านนอกอุทยานฯ จะมีร้านอาหารร้านเครื่องดื่ม โดยเฉพาะอาหารทะเลแห้ง อารมณ์เหมือนมาทั่วระยอง ของที่ระลึกก็มีขายด้วย ที่นี่จะมีรถทัวร์มากมายมาจอด ยิ่งวันเสาร์อาทิตย์จะมีนักท่องเที่ยวเยอะมากๆค่ะ และส่วนมากจะมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ค่ะ ไม่บอกก็รู้ใช่ไหมค่ะ ว่าควรหลีกเลี่ยงที่จะมาที่นี่ช่วงวันหยุด  เราใช้เวลาที่นี่เกือบ 3 ชั่วโมงนิดๆ (เพราะติดฝนด้วย) พวกเราก็เดินกลับออกทางเดิม ตั้งใจว่าจะกลับไปขึ้นรถเมล์เพื่อจะไปจิ่วเฟิน

เดินออกมาเริ่มกระหาย แว่ะซื้อ ชานมไข่มุก ร้าน Mr. Q Milk ชานมไข่มุกปกติแบบหวานน้อย รวมๆ ไม่ค่อยอร่อยค่ะ ไข่มุกก็ไม่นุ่ม ชานมก็ ไม่ค่อยมีกลิ่นหอมของชาเท่าไร แต่เห็นเค้าพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง เราจึงถามว่ารถเมล์อะไรที่จะไปเมือง คีลอง เพื่อที่จะไปต่อรถไปจิวเฟิ่น แต่เจ้าของร้านบอกว่าให้นั่งแท็กซี่ไปสิ นั่งรถเมล์เสียเวลา พร้อมกับชี้ไปที่ชายจีนคนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าร้าน (เจ้าของร้านชานมนี่นางนกต่อชัดๆ เลยค่ะ)



คนขับแท็กซี่ได้ยินก็เริ่มแสดงตัว และใบราคา พูดภาษาอังกฤษได้ รวมๆ แล้วขอ 1000 เหรียญไทเป (~1000บาท) เพื่อที่จะขับจากที่นี่ตรงไปจิ่วเฟิ่นเลย ซึ่งใช้เวลา 45 นาที ถ้าเฉลี่ยแล้วคนละ 500 บาท เราแอบคิดในใจดังมากว่า มันก็คุ้มเว้ยเฮ้ย!!!

ช่วงที่กำลังจะขึ้นรถแท็กซี่ มีอาหมวยคนหนึ่งวิ่งมาที่แท็กซี่ จากนั้นก็เป็นเสียงพากษ์ในฟิล์ม ซึ่งพวกเราฟังไม่รู้เรื่อง สรุป นางน้องหมวยกระโดดขึ้นรถมานั่งกะพวกเรา!!! นี่คืออะไรค่ะ??? ไปทางเดียวกัน หารกันใช่ป่ะ? เขาไม่ถามความสมัครใจพวกเราสักคำนะ แท็กซี่ซึ่งตอนแรกพูดภาษาอังกฤษได้ ตอนนี้ พูดไม่ได้แล้วค่ะ ชูนิ้ว สองนิ้ว ห้านิ้ว อะไรก็ไม่รู้ สรุป น้องหมวยขึ้นรถมาแล้วให้ขับรถไปโฉบรับสามีอีกค่ะ สรุป เรานั่งแท็กซี่อัดกันไป 5 คน (รวมคนขับด้วย)
yehliu_111-2

จริงๆ เราอยากกระโดดออกนะ ไม่ชอบพฤติกรรมของคนขับรถแท็กซี่ แต่คุณผู้ชายของเราหน้าบางค่ะ เขาบอกว่าไม่เป็นไร…ไม่เป็นไรค่ะ แต่หน้าเราเหวี่ยงมาก 555

yehliu_112-2ระหว่างทาง เราหันไปถามอาหมวยว่า สรุปเราต้องเสียเงินเท่าไหร่ อาหมวยพอจะพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง แต่พูดภาษาจีนได้ดีกว่า ก็ถามแท็กซี่ ซึ่งแท็กซี่บอกเอามาว่าเราสองคนยังต้องเสีย 1000 บาทส่วนอาหมวยที่นั่งไปด้วย ไปไกลกว่าเราอีกสองป้ายเสีย 1200 บาท คือเราก็ไม่ได้ใจแคบอะไรมากมาย แต่จวบจนทุกวันนี้ก็ไม่เข้าใจอาหมวยคนนี้ ทำไมต้องมาเรียกแท็กซี่คันเดียวกับเราด้วย???

มาสองคน หรือจะมาด้วยกันสี่คน เราก็ต้องจ่าย 1000 บาทก็จริง แต่มารยาทคนขับรถแท็กซี่คนนี้ไม่น่าประทับใจเอาเสียเลยค่ะ แถมขับเร็ว แรง แซง ถ้าไปเหย่หลิวแล้วจะต่อแท็กซี่ก็พยายามหลีกเลี่ยงคนนี้นะคะ หรือจะอยากเสี่ยงก็ลองดูค่ะ ไม่ว่ากัน

อดทนอดกลั้น นั่งรถแท็กซี่ขับฝ่าสายฝนมาจากเหย่หลิวกว่า 45 นาที ก็ถึง จิ่วเฟิ่นค่ะ ลงจากรถ จ่ายตังค์แบบไม่มองหน้าคนขับรถแท็กซี่ แล้วหายใจเข้าลึกๆ ลืมเรื่องราวที่ทำให้ใจขุ่นมัว แล้วถอนหายใจลึกๆ พร้อมยิ้มกว้างๆเดินเข้าตลาดจิ่วเฟิ่นกันดีกว่าค่ะ

ทางเข้าตลาดจะเล็กนิดเดียว สังเกตได้จาก 7-11 โดยจะมีอักษรภาษาจีนซึ่งเราก็อ่านไม่ออก โชคดีจะมีภาษาอังกฤษเล็กๆข้างๆ ว่า “Jiu Fen” เดินทะลุทะลวงเข้าไปเลยค่ะ

มันเป็นทางเดินทางเดียวแคบๆ คล้ายตรอกหรือซอยเล็กๆ แต่มีร้านค้า ร้านอาหารทั้งสองข้างทาง อารมณ์ประหนึ่งตลาดสามชุกคะ

บางร้านเราเห็นป้ายเป็นภาษาไทยด้วยนะคะ เพราะว่าคนไทยเริ่มนิยมมากันเยอะขึ้น ซึ่งแต่ก่อนที่นี่จะเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นค่ะ

ส่วนราคาอาหาร ส่วนมากก็ราคาแบบอยากให้ชิม คือราคาประมาณ 20-30-40-50 บาท บางอย่างเราก็ซื้อตามเขา บางอย่างหน้าตาน่ากิน ก็ขอลองเอง

อย่างถั่วตัดไอศครีมนี่ดูแปลกดีค่ะคนต่อแถวซื้อกัน เขาบอกว่าคนไทยชอบ เขาเลยมีป้ายเป็นภาษาไทยด้วย ว่า “ไอติมถั่วม้วน”

เป็นไอศรีมตักใส่ถั่วแล้วห่อด้วยแป้ง บอกตามสไตล์เราว่า ไม่ชอบอ่ะ เพราะไอศครีมหวานอย่างเดียว ไม่ได้หวานมันอะไรเลย  แต่มันก็ไม่เสียหายนะ ถ้าจะลองทาน (ปล เราเห็นร้านไอศครีมแบบนี้ ในเมืองไทเป ที่ตลาดกลางคืน ข้างวัดลองชาน ใครไม่มีเวลามาจิ่วเฟิ่นก็ลองไปทานที่วัดลองชานได้นะคะ)

ส่วน อาหารที่เราชอบชิมมากที่สุด ก็คือไส้กรอกไต้หวัน แบบต้นตำหรับจะเป็นแบบสีแดง คล้ายกุนเชียง(ย่าง) แต่ว่าจะ หวานกว่า และนิ่มกว่า  แต่ถ้ามาที่นี่จะมีหลากหลายไส้กรอกมาก บางอันก็ทำจากปลาหมึก กุ้ง ไก่ ฯลฯ สนนราคาละ 35บาท 3อัน 100 ค่ะ เราซื้อเกือบทุกรส เรียกว่ากินไส้กรอกจนลิ้นพองเลยค่ะ เพราะเขาย่างกันร้อนๆ

ไข่ต้มชาจีนอู่หลง อันนี้ก็ชอบ อันละ (หรือฟองล่ะ) 10 บาท บอกเลยว่า มันก็คือไข่ต้มค่ะ

เดินชม เดินชิม มาเรื่อยๆ จนมาเจอสามแยก ที่สามารถเลือกจะเดินขึ้น หรือ เดินลงบันได โดยถ้าหากเลือกเดินลงคือทางออกจากจิ่วเฟิ่น แต่ถ้าเดินขึ้นก็ยังมีร้านค้าและพิพิธภัณฑ์อีกค่ะ

เราเดินขึ้นไปกันก่อนนะคะ ขึ้นมาข้างบนตรงนี้ ค่อนข้างเงียบๆ แต่จะมีร้านอยู่ร้านหนึ่ง ซึ่งมองเข้าไปจะเห็นหน้ากากรูปหน้ารูปตาเต็มไปหมด ตอนแรกเรานึกว่าเขาทำไว้ขายค่ะ พอจะก้าวเข้าไปดู เขาก็พยายามโบกไม้โบกมือว่าต้องเสียเงินค่าเข้าชมค่ะ โดยราคาผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก 30บาทโดยประมาณค่ะ สรุปเขาทำเปิดร้านเป็นพิพิธภัณฑ์ค่ะ ไม่ได้เปิดไว้ขาย โดยเขาบอกกับเราว่า ตอนแรกเขาก็ทำเล่นๆ แต่พอเริ่มทำไปทำมา มันเริ่มมีจำนวนมากขึ้นก็เลย สุดท้ายก็มาเปิดโชว์อย่างทุกวันนี้ค่ะ

เราชอบงานฝีมือนะ และเราก็ชื่นชอบไอเดียวหรือจินตนาการที่เขาสร้างออกมาเป็นหน้ากากแต่ละหน้า เป็นพันๆ ไม่ซ้ำกันเลย โดยเขาจะมีป้ายชื่อของแต่ละอันติดไว้ด้วยค่ะ

ชอบค่ะ คุ้มด้วยแค่คนละ 50บาท ได้ถ่ายรูป ได้ชื่นชมผลงานของเขา…

ชิมเล่น ทานเล่น มาทั้งวัน ยังไงพวกเราก็ต้องการอาหารหลักสักมื้อ ก็เลยแว่ะร้านนี้ (ชื่อร้านอ่านไม่ออกค่ะ) ชอบตรงที่ว่าเมนูเขามีรูปภาพอาหารประกอบ และร้านดูสะอาดกว้างขวางดี มีแอบหวังลึกๆ ที่จะแว่ะเข้าห้องน้ำที่นี่แหล่ะค่ะ

Jiufen_009

มื้อเหลาๆ มื้อนี้ รวมแล้วประมาณ 800 บาท สำหรับเราสองคนค่ะ ก็อร่อยดี แต่ไม่มีลูกค้าท่านอื่นเลยอ่ะค่ะ มีแค่เราสองคน แอบวังเวง…
ทานเสร็จแล้ว เราก็เดินลงบันไดมาเรื่อยๆ อย่างที่บอกว่ามันคือทางออก แต่ก็เดินลงยาวเหมือนกัน ระหว่างทางลงนั้นเจอร้านอาหารมากมาย แอบเสียดายว่าเราน่าจะมากินร้านแถวนี้

ตรงทางลงนี้วิวสวยมา ใครมาก็ต้องถ่ายรูปตรงนี้ค่ะ เรียกว่าเป็นสัญลักษณ์ของจิ่วเฟิ่นเลยก็ว่าได้นะคะ แต่สำหรับพวกเราถ่ายยากนิดหนึ่งเพราะว่าฝนตกตลอดเลย

ลงมาได้ระดับหนึ่งจะเป็นทางเดิน ตรงนี้ส่วนมากจะเป็นที่อยู่อาศัยของคนพื้นเมืองที่นี่ค่ะ หากต้องการจะกลับเลยก็คือเดินลงบันไดจนสุดทางแล้วเจอสถานีตำรวจค่ะ จากนั้นเดินข้ามถนนไปที่ป้ายรถเมล์ (จะมีแค่ป้ายรถเมล์เดียวไม่หลงแน่นอน) จะขึ้นรถเมล์สายอะไรก็ได้ค่ะ แต่ต้องเป็นสายที่ไปไทเป พวกเราขึ้นสาย 1615 ค่ะ นั่งยาวไปเลยค่ะ ประมาณ1ชั่วโมง ไปลงที่ห้าง SOGO ค่ารถเมล์ขากลับนี่คนละประมาณ 80 บาทค่ะ

พอถึงห้าง SOGO แล้วไม่แว่ะก็จะกระไรอยู่ ตอนแรกนึกว่าเป็นห้างธรรมดาๆ ที่ไหนได้คะ ห้างนี้ไฮโซประหนึ่ง Paragon หรือ Platinum ที่บ้านเราเลยค่ะ แว่ะแล้วก็ไม่กล้าซื้ออะไร เพราะมีแต่ของแบรนด์เนมไปหมด  กลับโรงแรมกันเลยดีกว่า…

วันนี้เราเลยจบทัวร์ตอนสองทุ่มกว่าๆ พวกเราอาจจะอัดแน่นไปนิดเพราะว่าวันเดียวเที่ยวสองที่เลย จริงๆ อาจจะเลือกไปวันละที่ก็ได้นะคะ ถ้ามีเวลา เพราะจะได้ทัวร์บริเวณรอบๆได้อีกด้วย หรือจะตามทัวร์แบบพวกเราก็ได้ สำหรับทัวร์วันนี้เห็นชอบที่จะแนะนำให้ทุกคนลองไปดูนะคะ มันเติมเต็มความเป็นไต้หวันดีค่ะ

โปรแกรมพรุ่งนี้เราจะต้องออกทัวร์ตั้งแต่ตีห้า เพื่อการเดินทางอันยิ่งใหญ่ นั่นก็คืออุทยานแห่งชาติ ทาโรโกะค่ะ!!!




Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll Up