ทัวร์เต็มจนล้นวัน วันนี้ที่ต้องเดินทางยาวไกล ออกจากเมืองไทเปไปอุทยานแห่งชาติทาโรโกะ (ถ้าอ่านตามภาษาอังกฤษก็อ่านกันแบบนี้ค่ะ แต่เราได้ยิน ไกด์เขาพูดว่า ไท่ลู่เก๋อ) โดยทริปนี้ทั้งนั่งรถไฟ นั่งรถโค้ช แต่เราก็ยินยอมที่จะไปกัน เพราะว่า เห็นรูปตามเว็บไซต์ต่างๆ แล้วสวยมากค่ะ
(English) ทริปวันนี้ไม่ขอแนะนำสำหรับคนที่มีเวลาเพียงไม่กี่วันในไต้หวัน (ไทเป) เพราะใช้เวลากับการเดินทางไปกลับกว่า 7ชม และวันถัดไปก็จะเหนื่อยล้าด้วยค่ะ แต่อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับสมรรถภาพของแต่ละคน อย่างไรมาลองอ่านรีวิวกันก่อนเพื่อประกอบการตัดสินใจค่ะ
ส่วนตัวพวกเรา ชอบตะลอนเที่ยวทั้งในและนอกเมือง แต่ทัวร์นี้อยู่ไกล(มาก)ค่ะ เคยติดต่อเหมารถไป เขาบอกว่าต้องขับรถนานมากกว่า 6-7ชม. ส่วนใหญ่จะนิยมนั่งรถไฟไปค่ะ โดยเมืองที่เราจะไปนี้ชื่อว่า Haulien บริษัททัวร์ส่วนใหญ่ไม่นิยมรับที่จะทำทัวร์นี้ แบบไปเช้าเย็นกลับ ส่วนใหญ่จะมาเป็นแพคเกจให้ค้างคืนด้วยอย่างน้อย 1คืน แต่พวกเราจองโรงแรมในไทเปไปแล้วตลอดทริป เราเลยพยายามควานหาทัวร์แบบไปเช้าเย็นกลับ จนไปเจอทัวร์ที่ Viator โดยราคาทัวร์คนละ 150 ดอลล่าร์ หรือประมาณ คนละ 5000 บาทค่ะ โดยราคานี้รวมค่ารถ ค่าไกด์ ค่าเข้าชมสถานที่ และค่าอาหารกลางวัน เรียบร้อยแล้วค่ะ ถ้าถามว่าคุ้มไหม? เท่าที่เห็นจากทรัพยากรในการทำทัวร์ของเขา เราก็ว่า ก็สมราคาเขาค่ะ แต่ถ้าคิดว่าเป็นทัวร์วันเดียวสำหรับพวกเราสองคนก็ปาไป 10,000 บาทแล้ว ถ้าไม่ได้เตรียมเงินไว้ท่องเที่ยวเราก็ว่า แพงไป แต่ตอนเตรียมแผนการท่องเที่ยว เราเอาค่าใช้จ่ายทุกวันที่ไทเปมารวมแล้วหาค่าเฉลี่ยต่อวัน แล้วก็ไม่แพงจนเลวร้าย เพราะบางวันเราก็ไม่เสียค่าทัวร์เลยค่ะ
ส่วนทัวร์ที่เราซื้อกับ Viator นี้ ตลอดทริปวันนี้ ใช้คนขับรถอย่างน้อย 3 คน ไกด์ 2 คน แล้วเขาจัดหาซื้อตั๋วรถไฟให้เราหมดทั้งขาไปขากลับ มีคนไทยที่รับทำทัวร์ที่ไต้หวันบอกเราว่าตั๋วรถไฟ จู่ๆ จะไปจองเองก็ไม่ได้ ยิ่งเราไม่มีทักษะใดๆ ในภาษาจีนเลยก็ยากค่ะ สรุป รวมๆ แล้วก็คงสมราคาค่าทัวร์ของเขาแหล่ะค่ะ
ทัวร์วันนี้เริ่มกันตั้งแต่ตีสี่ ตื่นมาเตรียมตัว เตรียมของเพราะรถมารอรับที่โรงแรมเวลา ตีห้ายี่สิบนาที และด้วยมารยาทที่ดีในการทัวร์แบบกลุ่ม เราก็ควรตรงต่อเวลาหรือลงไปรอเขานิดหนึ่งค่ะ
คนขับรถเขามารอดีค่ะ มารับเราสองคนเป็น รร แรกเลย จากนั้นก็ทยอยไปรับคนอื่นๆ ที่โรงแรมต่างๆ รวมๆ แล้ววันนี้ กลุ่มพวกเราประมาณ 15 คนค่ะ พอรวบรวมได้ครบองค์แล้ว ก็พาพวกเราไปที่สถานีรถไฟค่ะ (คล้ายๆ หัวลำโพงที่บ้านเราค่ะ) โดยเขาจะมีไกด์มารอรับและพาเดินนำเข้าไปในสถานีรถไฟค่ะ
ไกด์คนแรกของเรา ก็ทำหน้าที่แจกตั๋วรถไฟ บอกพวกเราคร่าวๆ เกี่ยวกับทริปของวันนี้ แต่ที่นี่นอกจากจะเจอไกด์แล้ว ที่นี่มีร้านแบบ 7-11 ภายในสถานีฯด้วย แนะนำ ให้ซื้อขนมกับน้ำตุนไปเลยค่ะ เพราะเขาไม่มีแจกบนรถไฟ และถึงมีขายก็จะเป็นพวกบะหมี่สำเร็จรูปและกาแฟ ซื้อของตุนและเข้าห้องน้ำที่สถานีรถไฟนี้ให้เรียบร้อยค่ะ
ไต้หวันนอกจากจะรักสิ่งแวดล้อมมากๆ แล้ว เขายังให้ความสำคัญกับผู้หญิง เด็กและคนชรามากๆ ด้วยค่ะ ไม่ว่าจะไปไหน มักจะมีป้ายให้ความปลอดภัย ผู้หญิงตลอด อย่างในสถานีรถไฟนี้ ก็จะมีโซนพิเศษสำหรับ สาวๆ หรือ ผู้หญิงทุกท่านที่ต้องเดินทางกลางคืนตามลำพัง มายืนตรงนี้ก็จะรู้สึกปลอดภัยเป็นพิเศษ
ถึงเวลา รถไฟก็มาเทียบชานชาลา ไกด์จะบอกเราว่าเราต้องขึ้นตู้ไหน เขาก็พาเรามาส่งตรงตู้นั้นค่ะ ส่งจนแน่ใจว่าพวกเราทั้งคณะได้ขึ้นรถไฟเรียบร้อย เขาก็โบกมือลา โดยเขาจะมารับพวกเราอีกทีตอนขากลับมาที่สถานีรถไฟนี้ค่ะ
นั่งรถไฟ ก็นั่งหลับไปเถอะค่ะ ประมาณ 3 ชั่วโมงแน่ะ กว่าจะถึง เรานี่ หลับๆ ตื่นๆ ตื่นมาทีก็กินบ๊วยที่ซื้อมาจาก 7-11 ถุงนึง แล้วก็หลับต่อ พอตื่น อ้าวยังไม่ถึง กินอีกถุง…กว่าจะถึงนี้กินบ๊วยหมดไป 3ถุง เค้กกล้วยหอมอีกก้อนใหญ่ๆ (พยายามดื่มน้ำน้อยๆ เพราะไม่อยากเข้าห้องน้ำบนรถไฟ)
แต่บ๊วยชาอู่หลง นี่อร่อยจริงๆ ค่ะ…
สามชั่วโมงผ่านไป เรามาถึง 9โมงเช้านิดๆ ค่ะ อากาศกำลังดี ไม่ร้อนไม่หนาว …
พอเรามาถึงที่สถานีรถไฟ Haulien เราก็มีไกด์ท้องถิ่นมารับพวกเราถึงสถานีเช่นกันค่ะ ที่สถานีรถไฟก็คล้ายๆ กับสถานีรถไฟทั่วๆไป แนะนำว่าจุดนี้ให้ไปเข้าห้องน้ำ เพราะว่าเราเดินทางไปต่อกันยาวค่ะ ห้องน้ำที่ไต้หวันไม่เลวร้ายค่ะ โดยไกด์เขาก็รู้นะคะว่าพวกเราจะต้องเข้าห้องน้ำ เขาก็จะรอ จากนั้นก็พาไปขึ้นรถบัสฯที่เขาเตรียมไว้ค่ะ ขึ้นรถได้ไกด์เราก็พูดไม่หยุดเลยค่ะ พูดคุ้มจริงๆ โดยเขาจะพูดบรรยายเป็นภาษาอังกฤษเป็นหลัก
ขึ้นรถบัส พวกเราก็แอบตื่นเต้นนึกว่าจะถึงแล้ว แต่จริงๆ แล้วต้องนั่งรถอีกประมาณ 1 ชม ค่ะ เราก็นั่งหลับกันต่อได้อีก…
มาถูกปลุกอีกทีก็ตอนถึงทางเข้าอุทยานฯ แล้วค่ะ ประตูทางเข้ารายล้อมไปด้วยภูเขา ต้นไม้เขียวขจีไปหมดเลยค่ะ ไม่รู้จะเป็นแบบนี้ทุกเดือนหรือเปล่า แต่เรามาที่นี่กันเดือนเมษาค่ะ
ลงมาจากรถและยังถ่ายรูปไม่เท่าไร หันไปเห็นไส้กรอกปิ้ง ถามว่าหิวไหม ไม่หิวค่ะ แต่กลิ่นโชยมา ยั่วยวนแบบนี้ พวกเราก็อดไม่ได้ ที่จะไปซื้อกันคนละไม้สองไม้
จากนั้นเราก็กลับไปขึ้นรถบัส ไกด์เราก็เริ่มบรรยายอีกแล้วค่ะ ขอโทษทีจำชื่อนางไม่ได้ ดูรูปประกอบแล้วกันนะคะ ถึงแม้ไกด์จะออกแนวพูดเยอะแต่ฟังแล้วเข้าใจได้น้อย แต่เขาทำหน้าที่ไกด์ได้ดีมากๆ ค่ะ โดยเฉพาะรู้เวลาเข้าเวลาออก เส้นทางทั้งอุทยานฯ เรียกว่า ตั้งใจทำงาน และไม่ขี้เกียจค่ะ เพราะถ้าทำเนียนๆ ไป พวกเราก็ไม่รู้ว่าโปรแกรมไหนหาบ้าง เพราะอุทยานฯ เขากว้างใหญ่จริงๆ ค่ะ เรียกว่า เขาจัดให้พวกเราทุกเม็ดเลยค่ะ โดยเฉพาะเวลารถเข้าออกอุทยานฯ เขาจะจำกัดจำนวนคัน และเวลา เพื่อจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวด้านใน และก็เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ไกด์เราก็รู้และคำนวนเวลาไปเป๊ะๆ คือไม่ต้องเสียเวลารออะไรเลยค่ะ ใช้เวลาทุกนาทีได้คุ้มค่าจริงๆ
แต่ก่อนอื่นก่อนที่จะเข้าไปข้างใน ไกด์ก็ต้องไปยืมหมวกนิรภัย (hard hat) เพื่อป้องกันหินที่อาจจะตกใส่หัวได้ แต่ กระนั้น ไกด์เขาก็เตรียมตัวมาดีค่ะ มีการแจกทิชชู (napkins) ให้ใส่รองตรงคาง เพื่อความสะอาดและอนามัยด้วยค่ะ
การเดินทางภายในอุทยานนั้น ก็เดินทางด้วยรถบัสที่เรานั่งมาสะส่วนใหญ่ และจะจอดให้ลงชมเป็นบางช่วง นอกจากนั้นคนขับรถจะต้องมีความเชี่ยวชาญในการขับรถในอุทยานฯแห่งนี้มากๆ ด้วยค่ะ ถ้าขืนไปจ้างใครมาขับสุ่มสี่สุ่มห้าอาจจะหาทางออกจากอุทยานฯไม่ได้นะคะ
และในอุทยานฯ เราจะต้องเดินผ่านทางอุโมงค์ลึกๆ แคบๆ มืดๆ ค่ะ มีเพียงบางจุดที่จะอาจจะต้องเดิน เพราะเขาควบคุมปริมาณรถขับผ่านกัน แต่ไกด์ไม่อยากให้เราเสียเวลา เราก็ต้องเดินลอดอุโมงค์ในระยะสั้นๆ บ้าง ดูลึกลับ และตื่นเต้นดีค่ะ…
เดินออกจากอุโมงค์ก็เจอธรรมชาติเหมือนตอนที่ยังไม่ได้เข้าอุโมงค์ เพราะว่ามองไปทางไหนก็เหมือนกันหมดค่ะ แห่ะๆๆ ก็เราไม่ใช่คนท้องที่นี่ค่ะ มองไปทางไหนก็เลยเหมือนกันหมดเลย
และนี่ก็สาเหตุที่เราต้องใส่หมวกนิรภัยค่ะ เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่ภูเขาสูงๆ แล้วโอกาสที่หินจะหล่นมาจากที่สูงๆ ทางใดทางหนึ่งก็มีโอกาสเยอะมาก เราเลยต้องสวมหมวกนิรภัยตลอดเวลาค่ะ
ช่วงเดือนนี้น้าด้านล่างจะเป็นสีเทาๆ เราเคยเห็นในภาพเป็นสีฟ้ามรกต ไกด์บอกว่าต้องเป็นช่วงปลายๆ ปี น้ำจะเยอะและสีจะสวยกว่านี้ค่ะ
ส่วนตรงนี้ ใครๆ ก็ถ่ายรูปกัน เพราะดูแล้วเหมือนหัวช้างกับงวงช้างค่ะ นี่ยังมีหลายจุดที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ให้สวยงามให้มนุษย์จินตนาการกันในอุทยานฯแห่งนี้ เรียกว่าถ่ายรูปกันไม่หวัดไม่ไหวเลยค่ะ และที่สำคัญเราอยากถ่ายรูปตรงสะพานแขวนมากๆ แต่ไกด์บอกว่าเขาจำกันจำนวนคนเดินผ่านแต่ละวัน เราต้องมาลงทะเบียนไว้แต่เช้าๆ ค่ะ (อันนี้ไม่รู้จริงหรือเปล่านะคะ แต่ไกด์บอกเรามาแบบนี้จริงๆ)
และนี่ก็คือไฮไลท์อย่างหนึ่งของการมาเที่ยวที่อุทยานฯ แห่งนี้ค่ะ ดูตอนแรกนึกว่าวัด แต่จริงๆคือ อนุสรณ์สถานฯ Eternal Spring Shrine สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้ระลึกถึงคนงานกว่า200คน ที่เสียชีวิตระหว่างการสร้างถนนที่นี่ในช่วงปี 1956-1960 ซึ่งคนงานเหล่านั้นเป็นชาวบ้านธรรมดาที่ถูกระดมและรวบรวมกันมาช่วยกันสร้างถนน ด้วยเครื่องมือที่หาได้ตามท้องถิ่น
ตอนสร้างถนนเราก็ว่ายากแล้ว คนงานก็เสียชีวิตไปเยอะ แถมล้มเจ็บอีกแยะ ที่เหลือยังต้องมาเสี่ยงสร้างอนุสรณ์ฯให้อีก เพราะว่าต้องสร้างลัดเลาะทางหุบเขาเข้าไป ซึ่งไกด์ก็ให้พวกเราไปเดินชม เราก็เดินเข้าไปได้ แต่เข้าไปไม่ถึงตัวอนุสรณ์ฯ นะคะ
ดูสิค่ะ ทางไปอนุสรณ์ ฯ Eternal Spring Shrine ดูยากกว่าสร้างทางอีก…
เดินเข้าได้แค่นี้ค่ะ เขามีประตูกั้นไว้ ด้วยความที่อนุสรณ์อยู่ตรงหน้าผาพอดี ก็ย่อมมีการเลื่อนขยับตัวของหน้าผาบ้าง จึงไม่เป็นการปลอดภัยที่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมถึงตัวอนุสรณ์ฯค่ะ
เดินกลับมาถ่ายรูปด้านหน้าดีกว่า แม้จะเห็นไกลๆ แต่ก็สวยงามค่ะ ขอชมคนที่ออกแบบอนุสรณ์ฯแห่งนี้ ตอนนั้นคงออกแบบและสร้างกันด้วยใจศรัทธาต่อผู้วายชนม์ ไม่ได้คิดว่าจะสร้างให้วันหนึ่งจะกลายมาเป็นสถานที่ที่ให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปแบบนี้ เรียกว่าไม่ธรรมดาเลยนะคะ
มาต่อที่สะพาน Tianxiang ซึ่งเป็นสะพานที่จะข้ามไปในวัด Xiangde ซึ่งจุดนี้ ไกด์ให้เราแค่มาถ่ายรูปกับสะพาน แต่ไม่ได้ให้เข้าไปชมในวัดค่ะ เพราะว่าได้เวลาทานอาหารกลางวันกันแล้ว
และนี่ก็คือร้านอาหารกลางวันที่ทางทีมงานทัวร์เขาได้จัดเตรียมไว้ให้เราค่ะ เข้าไปถึงเขาก็ได้วางอาหารตามโต๊ะให้เราเลือกนั่งทานได้เลย
ตอนแรกเห็นสภาพอาหารแล้วคิดว่าคงเย็นจืดชืดและไร้รสชาดแล้วแน่เลย แต่พอลองทาน ฮื้มมมม มันอร่อยทุกอย่างเลยค่ะ โดยเฉพาะข้าวที่หุงด้วยกระบอกไม้ไผ่ เหนียวนุ่มเหมือนข้าวเหนียวเลย สรุป ถ้าใครถามว่าชอบอะไรมากที่สุดในการมาอุทยานฯแห่งนี้ ก็คงตอบว่าชอบทานอาหารพื้นเมืองของร้านชนเผ่าในอุทยานฯร้านนี้นี่แหล่ะค่ะ
หลังจากทานอาหารเที่ยงแล้ว ก็ขับวนดูอุทยานฯอีกนิดหน่อย จากนั้นก็เดินทางออกมาจากอุทยานฯ และแว่ะร้านหินอ่อน ซึ่งเราก็ไม่ใช่แฟนพันธ์แท้ของงานหินอ่อน เราก็เลยไม่มีอะไรประทับใจ พร้อมทั้งเขาห้ามถ่ายรูปค่ะ เลยไม่มีรูปมาอวด
สุดท้าย และท้ายสุดของวันนี้ ที่ชายหาด Chi-Hsing ตอนนี้ฝนตกพวกเราก็เลยใส่เสื้อกันฝนเดินออกไปชมชายหาดของที่นี่ ได้เดินออกไปหายใจและสูดลมทะเล ก็รู้สึกดีไปอีกแบบค่ะ
ฝั่งตรงข้ามด้านหลังของชายหาด ถ้ามองดูดีๆ จะเห็นปลายกระบอกปืนโผล่มาจากกำแพง ตอนแรกก็แอบตกใจ ไกด์บอกว่า ตรงนี้เป็นด่านป้องกันคนแอบลักลอบเข้ามาในประเทศทางทะเลนี้ด้วยค่ะ
เย้ จบทริป ไกด์ก็ไปส่งเราขึ้นรถไฟ เราก็หลับยาวไปจนถึงไทเป ถึงไทเปประมาณ 6โมงเย็นกว่าๆ ซึ่งไกด์คนเมื่อเช้าก็มารอรับ เพื่อส่งพวกเราขึ้นรถตู้ และรถตู้ก็ส่งเรากลับโรงแรม เรียกว่า ไปๆ มาๆ เรากลับถึงที่พักประมาณทุ่มกว่าๆ ค่ะ จะเข้านอน ก็ดันนอนมาตลอดทางบนรถไฟแล้ว พวกเราก็เลยอาบน้ำแต่งตัวไปตลาดกลางคืนต่อค่ะ ก็ตลาดกลางคืนที่ไทเป ที่ดังๆ นั้น มีกว่า 10 ตลาด ยังไงเราก็ต้องไปให้ได้สักครึ่งนึงของเขานะคะ ซึ่งเราก็กำลังรวบรวม ตัดต่อ ทำภาพประกอบ แล้วจะเอามาสรุปว่า เขามีตลาดกลางคืนกี่แห่ง และอะไรบ้างนะคะ
แล้วมาอ่านต่อ ไต้หวันวันที่ 4 เที่ยวแบบสบายๆ ในไทเป ตึก 101 วัดลองชาน ฯลฯ กันต่อนะคะ
่