(Click here for English Version: Grand Palace)
พระบรมมหาราชวัง และ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้วฯ
ถ้าไม่ได้ดูลิเก คำว่า “วัง” คงเป็นอะไรที่ช่างห่างไกลจากชีวิตเด็กบ้านๆอย่างเรา หรือแม้ว่าจะได้เลื่อนระดับมาเรียนและทำงานในกรุงเทพฯ อยู่หลายปี แต่ถ้าหากไม่ได้เรียนเป็นมัคคุเทศก์ เราก็คงไม่คิดที่จะเข้าชมพระบรมมหาราชวัง และวัดพระแก้วเป็นแน่ แต่ที่แน่ๆ เราเชื่อว่า มีเพื่อนๆ คนไทยของเราอีกหลายคนที่ไปเที่ยวมาหลายที่ หลายประเทศ แต่ยังไม่เคยไปวัดพระแก้วและพระบรมมหาราชวังเลย…
พระบรมหาราชวังและวัดพระแก้วฯ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2325 และใช้เวลาสร้าง และต่อเติมยาวนาน และเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลที่1 ถึงรัชกาลที่ 5
แต่อย่าลืม! ว่าท่านกำลังเข้าวังฯ จึงต้องแต่งตัวให้สวยงามและเรียบร้อย ทางพระราชวังและวัดพระแก้วฯ ก็มีข้อบังคับในการแต่งตัวอย่างเข้มงวด เพื่อความเป็นระเบียบและเคารพสถานที่อันเป็นที่เคารพบูชาของปวงชนชาวไทย
ผู้ชาย ควรสวมกางเกงขายาว และเสื้อเชิ้ต รองเท้าสุภาพ ไม่ควรสวมเสื้อกล้าม ส่วนผู้หญิง สามารถใส่กางเกงได้ แต่ว่า ไม่ควรเป็นกางเกงที่ฟิตและรัดรูปจนเกินไป กระโปรงไม่สั้น และไม่ควรใส่เสื้อที่บางมากๆ หรือเสื้อโชว์ไหล่
แต่ถ้าหากไม่ทันได้เตรียมตัว (แสดงว่าไม่ได้อ่านจาก Somethingjam.com ไป) ทางพระราชวังฯ และวัดพระแก้วฯ ก็มีผ้าแถบกับกางเกงขายาว และเสื้อให้สวมทับ รับรองไว้ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติฯ แต่ไหนๆ จะได้ถ่ายรูปกับวังทั้งที สวมเสื้อผ้าเราเองดีกว่าค่ะ เพียงแค่แต่งมาให้เรียบร้อยเท่านั้น
เราชาวไทย ก็ไม่ค่อยได้ยินเรื่องแบบนี้ค่ะ แต่ใครเลยจะรู้ถึงพวกนักต้มตุ๋นและหลอกลวงนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยนักต้มตุ๋มกลุ่มนี้มันจะเดินไปบอกนักท่องเที่ยวว่า “วันนี้ วังฯปิด เขาไม่ให้เข้า…” อะไรประมาณนี้ค่ะ (ส่วนใหญ่จะเป็นคนขับรถตุ๊กๆ ซะด้วย) หลังจากนั้นก็จะชักชวนนักท่องเที่ยวไปเที่ยวที่อื่น โดยนักตุ้มตุ๋นกลุ่มนี้ก็จะได้ค่าน้ำจากการพานักท่องเที่่ยวไปตามที่ต่างๆ ต้องขอบอกเลยค่ะ ว่าแบบนี้ ไม่ดีและไม่งามเลยสำหรับชื่อเสียงประเทศไทย อยากให้ทุกท่านช่วยเป็นหูเป็นตากันนะคะ หรือใครที่ทำอยู่ก็เลิกทำเถอะค่ะ มันเป็นเพียงรายได้ระยะสั้นแถมไม่ได้ส่งผลดีอะไรให้บ้านเมืองเราเลยค่ะ |
คนไทยเข้าชมฟรี!
ชาวต่างชาติเสียค่าเข้าชม ท่านละ 500 บาท แต่เราต้องอธิบายให้เพื่อนชาวต่างชาติเข้าใจนะคะ ว่าที่คนไทยไม่เสียค่าเข้าชมเนี่ย เป็นเพียงเพราะว่า สถานที่ศักดิ์สิทธิ์มีไว้ให้คนไทยเคารพบูชาค่ะ เราเลยไม่ต้องเสียค่าเข้าชม
แต่บัตรเข้าชมที่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ซื้อก็นับว่าคุ้มมาก เพราะว่ายังสามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณ์ไทย และ พระที่นั่งวิมานเมฆได้อีกด้วย โดยบัตรเข้าชมที่ต่างๆ จะมีอายุถึง 7 วันค่ะ
แม้ว่าจะเป็นคนไทย สัญชาติไทย แต่ไม่เคยเข้าวังมาก่อน การเข้าชม
พระบรมหาราชวังฯก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงแม้จะมีป้ายบอกตลอดทาง แม้แต่ตัวเราเองมาห้าครั้งแรกก็ยังหลง เพราะว่าที่นี่มีทางเข้าทางเดียว แต่ว่า ทางออกนั้นมีหลายทางออกมาก และถ้าหากเดินเข้า-ออกผิด ก็เหมือนเดิน วนเข้าวนออก จะเหนื่อยและไม่สนุกแน่ๆ
โดยภายในกำแพงพระบรมมหาราชวังฯ ประกอบด้วย เขตพระราชฐาน คือพระมหาปราสาทและพระราชมณเฑียรสถาน ในกรอบสีฟ้า กับบริเวณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในกรอบสีแดง
Credit: กราฟฟิคแผนที่โดยไทยรัฐทีวี
ประตูรอบๆกำแพงพระบรมมหาราชวังฯ ประกอบด้วยกันถึง 12 ประตู ลองอ่านเรียงจากเลขของภาพ (Cr: ภาพจาก TNN) จะได้รู้ซึ้งถึงเสน่ห์ของชื่อทั้งหมด โดยปกติจะเปิดให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้าชมพระบรมมหาราชวังฯที่ประตู วิเศษไชยศรี (2) ด้านที่ติดกับสนามหลวง
ก้าวแรกที่เข้ามา จะเป็นบริเวณวัดพระแก้วฯ ก่อนค่ะ และจะเห็นผู้คนกราบไว้รูปฤาษี โดยฤาษีท่านนี้คือหมอประจำพระองค์ของพระพุทธเจ้า คือท่าน “ชีวกโกมารภัจจ์” ท่านเป็นที่นับถือของผู้ที่ศึกษาทางด้านการแพทย์แผนโบราณ รวมทั้งผู้คนที่เจ็บไข้ได้ป่วยก็มักจะมาขอพรจากท่านกัน
แต่ก็ต้องควบคู่กับการดูแลตัวเองด้วยนะคะ อย่าลืมว่า“you are what you eat”.
ในบริเวณวัดพระแก้วฯ เราจะเห็น
1. กลุ่มฐานไพที กลุ่มอาคารบริเวณฐานไพที มีอาคารหลักสามหลัง คือ ปราสาทพระเทพบิดร พระมณฑป พระศรีรัตนเจดีย์ และวัตถุประดับตกแต่งอื่นๆเช่น รูปปั้นสัตว์หิมพานต์ บุษบกพระราชลัญจกร นครวัดจำลอง พระสุวรรณเจดีย์
โดยเฉพาะยักษ์ทวารบาทและสุวรรณเจดีย์นั้นจะเป็นที่ตื่นตาตื่นใจกับนักท่องเที่ยวอย่างมาก
ยักษ์ทวารบาล ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้ามาภายในบริเวณวัด มีขนาดสูงใหญ่ถึง 6 เมตร ทั้งหมดมีอยู่ 6 คู่ด้วยกัน ว่ากันว่าทศกัณฐ์คือยักษ์ที่ตัวสีเขียว จะยืนข้าง ๆ กับยักษ์สหัสเดชะซึ่งเป็นญาติกันกับทศกัณฐ์ ยักษ์ทั้งสองตนนี้รวมทั้งตนอื่น ๆ ที่มารับหน้าที่ทวารบาล เพื่อปกปักรักษาองค์พระแก้วมรกต
สุวรรณเจดีย์เป็นเจดีย์เพิ่มมุม 12 มีรูปลิงและยักษ์แบก เจดีย์นี้รัชกาลที่ 1 โปรดให้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่พระชนกชนนี ซึ่งเป็นตามธรรมเนียมการสร้างวัดที่จะสร้างเจดีย์คู่ไว้หน้าวัด เป็นการอุทิศแก่บิดามารดาของผู้สร้าง ที่ฐานเจดีย์เป็นรูปยักษ์กับกระบี่ (ลิง) แบกเจดีย์
ตรงนี้แหล่ะค่ะ ที่เรามักจะทายกันเล่นๆ ว่า ตัวไหนรูปยักษ์ และ ตัวไหนรูปลิง อยากรู้ก็ต้องมาดูค่ะ …
มุมถ่ายรูปบนฐานไพทีที่นักท่องเที่ยวชอบถ่ายรูปกัน โดยมียักษ์ทวารบาลอยู่ด้านหลัง
จิตรกรรมฝาผนังในวัดพระแก้วฯ เรื่องราวที่วาดจากปลายพู่กัน นอกจากน่าทึ่งด้วยความพยายามบรรจงวาดจากเส้นสู่เส้นแล้ว ยังนำเสนอเรื่องรามเกียรติ์ โดยมีที่มาจากความเชื่อที่ว่าพระมหากษัตริย์นั้น ทรงเป็นพระนารายณ์อวตารลงมาปราบทุกข์เข็ญ เฉกเช่นเดียวกับพระรามในเรื่องรามเกียรติ์นั่นเอง
2. พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นพระอุโบสถประดิษฐานพระแก้ว เป็นพระอุโบสถที่งดงามมาก มีภาพเขียนปางมารวิชัยอยู่ทางด้านทิศตะวันออก บานประตูพระอุโบสถและบานหน้าต่างประดับด้วยมุก มีลวดลายสวยงาม เป็นฝีมือในรัชกาลที่ ๑
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ พระแก้วมรกต เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวไทย พระแก้วมรกตเป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักจากหยกอ่อนสีเขียวดังมรกต
เครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร เป็นเครื่องทรง 3 ฤดู พระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์จะทรงประกอบพระราชพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรในวันเริ่มฤดูเป็นประจำทุกปีมีกำหนดการดังนี้ เครื่องทรงฤดูร้อน ทรงเปลี่ยน วันแรม 1 ค่ำ เดือน 4 (ราวๆ มีนาคม) เครื่องทรงฤดูฝน ทรงเปลี่ยน วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8
(ราวๆ เดือนกรกฏาคม) เครื่องทรงฤดูหนาว ทรงเปลี่ยน วันแรม 1 ค่ำ เดือน 12(ราวๆ เดือนพฤศจิกายน)
ทางพระบรมหาราชวังและวัดพระแก้วฯ ไม่อนุญาติให้นำกล้องเข้าไปถ่ายรูปพระแก้วมรกตในอุโบสถนะคะ แต่ว่า
ภายนอกอุโบสถและ รอบๆวัดกับวังถ่ายรูปได้ค่ะ
หลังจากกราบไหว้สักการะพระแก้วมรกตแล้ว เดินชมภาพวาดฝาผนังไปเรื่อยๆ จะมีป้ายว่าทางเข้าชมวังค่ะ ก่อนจะก้าวย่างเข้าไปชมวังฯ ให้แน่ใจก่อนว่า ท่านได้ชมและอิ่มเอิบกับความสวยงามที่วัดพระแก้วฯ แล้ว เพราะเมื่อท่านก้าวเข้าวังไป หันกลับมาจะเห็นป้ายเลยว่า “ห้ามเข้า” นั่นหมายความว่า ท่านไม่สามารถเดินย้อนกลับมาชมวัดพระแก้วได้อีก (นอกจากออกไป แล้วเดินเข้ามาใหม่ค่ะ ก็เราคนไทยนี่ค่ะ เข้าฟรีอยู่แล้ว แต่ถ้ามีเพื่อนต่างชาติก็ถามเขาให้แน่ใจ เพราะว่าถ้าเขาอยากจะถ่ายรูปในส่วนวัดพระแก้วอีก เขาต้องซื้อบัตรใหม่ค่ะ)
Credit: กราฟฟิคแผนที่โดยไทยรัฐทีวี
พระบรมมหาราชวัง แบ่งพื้นที่ออกเป็นบริเวณวัดพระศรีรัตนศาสดารามและเขตพระราชฐานอันเป็นพื้นที่สำหรับเป็นที่ประทับและบริหารราชการแผ่นดินของพระมหากษัตริย์ โดยเขตพระราชฐานสามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ เขตพระราชฐานชั้นหน้า, เขตพระราชฐานชั้นกลาง. เขตพระราชฐานชั้นใน
เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก เมื่อเข้ามาในเขตของพระบรมหาราชวัง ขออนุญาติบอกเล่าเฉพาะ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ซึ่งเป็นพระที่นั่งของ ร.5 ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นพระที่นั่งที่มีการผสมผสานสถาปัตยกรรมไทยกับยุโรปให้เข้ากันได้อย่างลงตัว มีคำอธิบายให้เห็นภาพได้ว่าคล้ายกับการ “จับฝรั่งมาสวมชฎา” พระที่นั่งองค์นี้สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 5 และทาสีชมพูทั้งหลัง แต่ปัจจุบันมองเห็นเป็นสีชมพูจางๆเกือบขาว ด้านหน้า
พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทมีทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ยืนอารักขาถวายพระเกียรติยศอยู่ และจะมีการสวนสนามผลัดเวรทุกๆ 3 ชั่วโมง อนุญาตให้ถ่ายรูปด้วยได้
พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เป็นพระที่นั่งองค์ประธานของพระที่นั่งทั้งหมู่
ร.1 ได้โปรดเก้าให้สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ มีขนาดสูงใหญ่เท่าพระที่นั่งสุริยามรินทร์ในพระราชวังหลวงของกรุงศรีอยุธยา
เมื่อ ร.1 เสด็จสวรรคตก็ได้อัญเชิญพระบรมศพมาประดิษฐานไว้บนพระมหาประสาท จนกลายเป็นธรรมเนียมที่จะประดิษฐานพระบรมศพสมเด็กพระมหากษัตราธิราชเจ้าพระองค์ต่อๆมา
และการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของปวงชนชาวไทยในปี 2559 พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทเป็นที่ประดิษฐานพระบรมศพของรัชกาลที่9 ที่เปิดให้ประชาชนเข้าไปร่วมถวายความอาลัยและสักการะพระบรมศพ ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2559 เป็นต้นมา โดยในขณะนี้ยังไม่มีกำหนดวันสิ้นสุด
พระที่นั่งอื่นๆ ก็ยังมีความสวยงามและสำคัญต่างๆ กันไป ต้องเข้าไปชมกันค่ะ 😉
ถ้าจัดอันดับที่เที่ยวที่สำคัญในประเทศไทย เชื่อเลยค่ะว่า พระบรมหาราชวังกับวัดพระแก้วฯ แห่งนี้จะเป็นลำดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวต่างชาติเลยทีเดียว และยิ่งไปกว่านั้นหากจัดอันดับที่เที่ยวที่สำคัญในโลก พระบรมหาราชวังกับวัดพระแก้วฯ ก็ยังคงติดอับดับต้นๆ ไม่แพ้ที่เที่ยวที่ประเทศอื่นๆ เลยค่ะ
แต่แอบน่าเสียดาย หากเราชนชาวไทย ไม่ได้เข้าไปชมหรือกราบไหว้สักการะองค์พระแก้วมรกต…
วัดหยุดนี้ หรือมีโอกาสเมื่อไร อย่าลืมพาคุณพ่อคุณแม่ หรือญาติๆ ไปไหว้พระแก้วมรกต
และเยี่ยมชมพระบรมหาราชวังของเรานะคะ…
ขอบคุณค่ะ 🙂
ชีวกโกมารภัจจ์
โอ!! ความรู้เต็มเยยอ่