ทริปแห่งความทรงจำช่วงโควิด19 ในที่สุดเราก็ได้มีโอกาสวางแผนเดินทางกลับประเทศไทยสักที หลังจากไม่ได้กลับไทยเลยมาสองปีเต็มๆ ทั้งนี้ ประสบการณ์ตรงของพวกเราคือ การเดินทางกลับประเทศด้วยโปรแกรม Test & Go คือ ฉีดวัคซีนครบแล้ว ต้องนอนโรงแรมหนึ่งคืน เพื่อตรวจโควิด ถ้าผลเป็นลบ หลังจากนั้นก็เดินทางในประเทศไทยได้เลย
ในเคสของพวกเราคือ เราจะเดินทางด้วยสายการบินญี่ปุ่น(JAL) ซึ่งเราจะถึงประเทศไทยประมาณ เกือบเที่ยงคืนของวันที่ 1 มกราคม แล้วเราจะจองโรงแรมกันยังไงล่ะเนี่ย???
ก่อนการเดินทาง เราต้องมาวางแผนกันก่อนว่า เราจะต้องมีอะไรบ้าง หลักๆ เลย เราจะพูดถึง Thailand Pass นั่นก็คือการลงทะเบียนของรหัส หรือ บาร์โค้ดประจำตัวเรา เพื่อเข้าประเทศ ซึ่งในส่วนการลงทะเบียนนั้น ต้องมีการถ่ายรูปหลักฐานถึงสี่อย่างคือ 1. บัตรฉีดวัคซีน 2.ตั๋วเครื่องบิน 3.ใบจองโรงแรม (ในระบบ Sha+)และ 4. คือใบประกันสุขภาพ ในส่วนของใบประกันสุขภาพ ถ้าเดินทางด้วยพาสต์ปอร์ตไทย ไม่จำเป็นต้องมี
แต่อย่างเราเดินทางด้วยพาสต์ปอร์ตอเมริกา เพราะพาสปอร์ตไทยหมดอายุช่วงติดโควิด เราเลยต้องมีทั้งสี่อย่างเหมือนชาวต่างชาติเลย
เอกสารที่จะแนบในระบบ Thailand Pass นั้นจะต้องเป็นไฟล์รูปภาพเท่านั้น (มีแค่ส่วนสุดท้ายที่ให้แนบไฟล์อะไรก็ได้ แต่ก็เป็นส่วนของรายละเอียดเพิ่มเติม) สรุป ก็คือ ถ่ายรูป เอกสารทุกอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เพื่อแนบไฟล์ในระบบได้…
การลงทะเบียนระบบ Thailand Pass นั้น เขาแนะนำว่า ไม่ควรใช้ อีเมล์ของ Hotmail, Outlook และ Live.com (อ่านเพิ่มเติม ใช้อีเมลใดลงทะเบียนได้บ้าง)
ส่วนที่ยากและงงที่สุด คือตอนจองโรงแรมที่กรุงเทพฯ ถึงแม้เราจะจองผ่านเว็บไซต์ แต่พอโทรหา แผนกจองห้องพักฯ เขาบอกว่าให้รอ 1-3วัน เพื่อให้ทาง โรงแรมออกใบรับรองการจอง ซึ่งจะเป็นใบที่นำไปแนบในระบบ Thailand Pass
ตัวอย่าง เราจองโรงแรมวันพุธ ตอนกลางคืน แล้วถึงจะได้ จดหมายตอบกลับจาก โรงแรมวันศุกร์ตอนเช้า (เวลาตามประเทศอเมริกา)
รร ที่เราจอง นั้นมีค่าใช้จ่ายสำหรับ แพคเกจ Test & Go ที่คนละ 3000กว่าบาท (สองคน 6900 บาทถ้วน) ซึ่งรวม รถรับที่สนามบินฯ อาหาร 3 มื้อ และตรวจโควิด
ที่เลือกจองโรงแรมนี้ เพราะตอนโทรฯคุยกับ พนักงานจองห้องพัก นั้น เขาระบุว่า จะมีเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลเปาโลมาตรวจให้ที่ห้องพักเลย แล้วเขาจะมาเป็น รอบๆ ไป โดยเริ่มตั้งแต่ 9โมงเช้า ถึง 3ทุ่ม อย่างพวกเราเดินทางถึงตอนดึกมากๆ ก็จะได้รอบตรวจตอน 9โมงเช้า ในวันถัดไป… ทางโรงแรมบอกเราว่า ถ้าตรวจฯตอนเช้า ผลก็จะออกประมาณ 4โมงเย็น เราก็สามารถเช็คเอ้าท์ได้เลย
ซึ่งก็ค่อนข้างดีกว่า รร อื่นๆ ที่เราเห็นน้องๆ รีวิว กันบนยูทูป ว่า ต้องเดินทางกันไปตรวจที่อื่นๆ เป็นจุดตรวจที่เขาเตรียมไว้..
โรงแรมนี้อยู่แถวๆ ประตูน้ำ ตอนโทรไป เขาบอกว่า เดินไป รถไฟฟ้าสถานีชิดลมประมาณ 10 นาที https://www.berkeleypratunam.com/ เลือกห้องพักแบบ “RT-PCR BY PAOLO 4-6HRS RESULT”
โรงแรมเขาเคลมว่าเขาเป็น รร ห้าดาวด้วย…อันนี้ ต้องลองไปพิสูจน์ แล้วจะกลับมาอัพเดท!!! (แต่ที่รู้ๆ จองวันที่ 1มค แต่เจ้าหน้าที่คอนเฟิร์มกลับมาเป็นจองวันที่ 28ธค !!! แต่พอแย้งกลับไปเขาก็บอกว่า ในระบบถูกต้องแต่เขาเขียนอีเมล์ผิด มารอลุ้นกันค่ะว่า เราจะมีคนมารับที่สนามบินไหม…555)
โรงแรมอื่นๆ ในระบบ Sha+ เลือกได้ที่: https://www.shathailand.com/
อันนี้เราเป็นกังวลมากที่สุด คือ บัตรประกันสุขภาพ!
อย่างที่บอกค่ะ ว่าเราจะเดินทางด้วย พาสต์ปอร์ต อเมริกา เราจึงถึอสถานะของเราเสมือนชาวต่างชาติคนหนึ่ง
แต่อย่างเพื่อนๆ ชาวต่างชาติส่วนใหญ่เขาก็จะซื้อประกันไปเลย เพราะง่ายดี…
สรุป ประกันที่เรามีในประเทศอเมริกา ก็ยื่นผ่านค่ะ โดยเราต้องโทรฯไปของจดหมายรับรองจากบริษัทประกันฯ โดยมีการระบุเงื่อนไขเงินประกัน อย่างน้อง 50,000ดอลล่าร์สหรัฐฯกำกับไว้ในจดหมายด้วย (ไม่จำเป็นต้องระบุเจาะจงว่า เป็นประกันเพื่อโควิด19 เป็นแค่ประกันสุขภาพก็พอ) หลังจากนั้นเราก็แนบบัตรประกันสุขภาพเสริมเข้าไปในระบบ Thailand Pass ด้วย
ถ้าหากมีสามีหรือภรรยาเป็นชาวต่างชาติ สามารถเข้า เช็คราคาประกันฯ ได้ที่ https://asq.in.th/thailand-covid-insurance?fbclid=IwAR29csBV9dAgXDMwFE1onjZ77O1hm7dRAQ0FdhgGAinIzIaQotVH0pyRKoM)โดย ราคา จะขึ้นอยู่กับจำนวนวันที่ต้องการประกันฯ กับอายุผู้ประกันตน ค่ะ ส่วนพวกเราก็ประหยัดเงินกันไปได้เยอะ เพราะไม่ต้องซื้อประกันเพิ่ม
ได้ข้อมูลครบแล้ว ก็เริ่ม กรอก THAILAND PASS !!!
!!!ระบบ Thailand Pass ปิดรับการลงทะเบียน สำหรับการเข้าประเทศไทย แบบ Test & Go ทั้งหมด
และการเข้าประเทศไทยแบบ Sandbox ยกเว้น จังหวัดภูเก็ต (เป็นการชั่วคราว)
การกรอก Thailand Pass จริงๆ ไม่ยากเลย เหมือนการกรอกข้อมูลทั่วไป โดยไปลงทะเบียนที่ https://tp.consular.go.th/
ถึงแม้ว่าเราสองคนจะเดินทางพร้อมกัน พักที่เดียวกัน แต่เวลาลงทะเบียนใน Thailand Pass ยังจะต้องทำทีละคนค่ะ เพราะรหัส Barcode ที่ได้ จะเป็นข้อมูลของคนๆ นั้น
แต่จะมีเฉพาะการเดินทางกับเด็ก ที่จะสามารถ เพิ่มในส่วนของตัวผู้ปกครองไป…อันนี้เราไม่ได้เดินทางกับเด็ก เลยไม่ได้ลองคลิกเข้าไปดู…
บางคนบอกว่า สามารถโทรฯไปลงทะเบียนผ่านโทรศัพท์ได้ด้วย (+66 2572 8442) ซึ่งเป็นเบอร์ที่ เขาบอกว่า เปิดให้บริการ ตลอด24 ชม ทุกวัน แต่เราเคยพยายามโทรหาอยู่ 2 วัน ไม่ใครรับโทรศัพท์เราเลย 🙁
บางคนก็บอกว่า มีการจ้างให้คนลงทะเบียนให้ค่ะ อย่างคนล่าสุดที่คุยเขาบอกว่า เขาจ้างคนรู้จักให้ลงทะเบียนให้ 1500บาท…จริงๆก็เห็นเขารับจ้างกัน ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ที่รับลงทะเบียนผ่าน Thailand Pass ให้ แต่เราต้องส่งข้อมูลของเราให้เขาทั้งหมด...แล้วเราจะแน่ใจได้ยังไงว่าเขาจะไม่เอาเอกสารของเราไปใช้ในทางอื่น???
เราจึงลงทะเบียนเอง พอลงทะเบียนแล้วเราจะได้ รหัสมาไว้คอยตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน…
อย่างที่บอก ว่า เรากังวลในส่วนของใบประกันมาก ก็เลยรอผลอนุมัติอย่างลุ้นๆ
บางคนบอกว่า ลงทะเบียนปุบ ก็ได้รับ ผลอนุมัติปับ บางคนก็บอกว่า ได้ภายใน 1-3 วัน ส่วนพวกเรานั้นใช้เวลาประมาณ 4-5วันค่ะ ไม่รู้ว่าเราเดินทางช่วงที่มีคนลงทะเบียนกันเยอะหรือไร แต่เราลงทะเบียนให้คุณสามีก่อน เสร็จแล้วก็ลงทะเบียนให้ตัวเอง พอวันได้อนุมัติ คุณสามีก็ได้ก่อน แล้วเราก็ได้ตาม
ดังนั้น คิดว่า เขาจะอนุมัติตามคิวที่ลงทะเบียนกันไว้…
คุณทิม ได้ก่อนประมาณ 15นาที!!!
ตัวบาร์โคดนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงการเดินทาง ภายใน 3วันที่ขอไว้ ไม่ต้องขอซ้ำ เช่น อย่างเราเดินทางวันที่ 1 หากเลื่อนการเดินทางไปเป็น วันที่ 2 หรือ 3 ก็สามารถใช้บาร์โค้ดตัวเดิมได้ ทั้งนี้ได้เฉพาะเลื่อนออก ถ้าเลื่อนเข้าก่อนวันที่1 ต้องลงทะเบียนของตัวบาร์โค้ดตัวใหม่!
ตอนนี้ทุกอย่างก็พร้อมแล้ว เหลือแต่…
ผลตรวจโควิดค่ะ ซึ่งผลตรวจโควิด เขาจะไม่ขอในระบบ Thailand Pass เพราะว่า เราจะต้องตรวจก่อนเดินทาง 72ชม (3วัน)
ผลตรวจโควิด แบบที่ประเทศไทยต้องการคือ RT-PCR คือการตรวจด้วยแลปฯ ซึ่งจะใช้เวลานาน
ตัวอย่างของพวกเรา เวลาเดินทางจากสนามบินอเมริกาประมาณ เที่ยงของวันที่ 31 ธค แสดงว่า เราจะสามารถเริ่มตรวจโควิดได้หลังเที่ยงของวันที่ 28
สรุป เราก็เสียเงินไปคนละ $189 เพื่อตรวจ RT-PCR กับ Any Test Lab ซึ่งเขาจะให้ผลตรวจรวดเร็วขึ้น คือ ตรวจตอนกลางวัน ได้ผลหลังสี่ทุ่มของวันเดียวกัน หรือไม่เกิน 7โมงเช้าของวันถัดไป (เราตรวจบ่ายโมงของวันพุธ ได้ผลประมาณหกโมงเช้าของวันพฤหัส โดยเขาส่งอีเมล์มาให้)
ที่ Any Test Lab ยังมีแบบเร่งด่วนได้ผลภายใน 2 ชั่วโมง แต่คนละ $250
ถ้าไม่ติดหิมะตกหนักที่ ซีแอตเทิล เราก็จะไปตรวจกับ วอลกรีน (Walgreen) ซึ่งสามารถจอง ขอตรวจโควิดฟรี ได้ (จองล่วงหน้าได้ 1 อาทิตย์) แต่ผลตรวจอาจจะได้เวลา 1-2 วัน
ที่นี่ก็ให้บริการตรวจโควิดฟรี COVID-19 Testing & Health Services | Curative
อย่างไรเสีย สถานการณ์โควิดนั้น เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา อย่างพวกเราเจ้าออไมครอนโผล่มาพอดี (เกือบจะไม่ต้องตรวจ CPR ที่โรงแรมแล้ว!!!) หากต้องการวางแผนเดินทางไปประเทศไทย ต้องติดตามข่าวสารอย่างตลอดเวลา ที่ https://www.tatnews.org/
***โรงแรม หรือ ประกัน ที่ระบุ ในบล็อกนี้ ไม่ได้ค่าโฆษณา หรือค่าจ้างใดๆ เป็น การแชร์ประสบการณ์จริงและ จ่ายจริง เท่านั้น
มาถึงสนามบินฯ แล้ว ไชโย!!!
เรามาถึงสนามบินสุวรรณภูมิคืนวันที่ 1 มกราคม 2565 เวลา ห้าทุ่มครึ่ง
เมื่อเดินออกจากเครื่องบิน เข้าสู่ตัวอาคารสนามบินฯ จะมีเจ้าหน้าที่มายืนเป็นจุดๆ และจุดแรกนั้น เจ้าหน้าที่ได้ยื่นแบบฟอร์มให้กรอกเพื่อรับทราบว่า เราจะต้องตรวจ โควิด19 ถึงสองครั้งภายในอาทิตย์แรกที่มาถึง (ครั้งแรกต้องรวมกับแพคเกจของโรงแรม และ ครั้งที่สอง รัฐบาลจะออกค่าใช้จ่ายให้)
เมื่อเดินมาถึงบริเวณที่มีเก้าอี้ตั้งเรียงรายจำนวนมาก จะเห็นเจ้าหน้าที่ในชุด PPE ซึ่งเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้จะทำการช่วยตรวจเอกสาร และจัดเรียงให้เราค่ะ
ถัดไป ก็จะเป็นเจ้าหน้าที่จริงๆ ที่เช็คเอกสารพวกเราอีกที
จากนั้นก็เดินทางไปยังจุดตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งครั้งนี้เราเดินทางมาด้วยพาสปอร์ตอเมริกา ทำให้ขั้นตอนการเข้าเมืองของเรานั้นเหมือนกับชาวต่างชาติ โดยเจ้าหน้าที่จะถามคำถามเพิ่มเติมว่า หลังจากกักตัว 1 คืนที่โรงแรมแล้วเราจะไปพักต่อที่ไหน?
แต่ทุกขั้นตอนก็ผ่านไปด้วยดี แล้วเราใช้เวลาแค่ 22 นาที ตั้งแต่ลงจากเครื่องจนได้กระเป๋าเดินทางคืน เรียกว่า สะดวก และรวดเร็วมากๆ
จากนั้น เดินออกไปจะเห็นโต๊ะของโรงแรมต่างๆ ตั้งกันเรียงราย เราก็มองหา โรงแรมของเราค่ะ โดยเจ้าหน้าที่ที่มารอรับเขาก็จะขอเช็คชื่อและตรวจดูพาสปอร์ตของพวกเราอีกครั้ง
แล้วก็พาพวกเราไปขึ้นรถที่ทางโรงแรมนั้นจัดเตรียมไว้ให้ ซึ่งทั้งหมดนี้ได้รวมไว้ในแพคเกจโรงแรมที่เรากล่าวไว้ในข้างต้น เจ้าหน้าที่เขาก็ช่วยดูแลเราดีมากๆ
คุณทิม ถึงกับเอ่ยปากพูดว่า รู้สึกเหมือนพวกเราเป็นบุคคล VIP เลย
ดึกๆ แล้วรถไม่ค่อยติด เราใช้เวลาเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ ถึง รร ของเราที่ประตูน้ำ เพียง 25 นาทีเท่านั้น
มาถึง โรงแรม ตอนหลังเที่ยงคืน ก็จะเงียบ ๆ และ วังเวงนิดหน่อย แต่เขาก็มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลพวกเราเป็นอย่างดี
ตอนเช็คอิน พนักงานยังให้ข้าวผัดปูมาให้พวกเราอีกคนละกล่อง เพราะเห็นเราเดินทางมาถึงดึกดื่น น่าจะหิว (ซึ่งพวกเราก็หิวกันจริงๆค่ะ)
คืนนี้เราก็แค่เข้าห้องพักกันก่อน ส่วนหมอและพยาบาลจะมาตรวจโควิดให้ถึงห้องพรุ่งนี้
โควิด19 เป็นช่วงที่ท้าทายการจัดการของแต่ละประเทศจริงๆ ในส่วนตัวแล้วในระหว่างปีเดียวกันนี้ได้เดินทางไป อเมริกา ไทย เกาหลีใต้ เยอรมันนี ปารีส แต่จะบอกว่า ประเทศไทย ยากสุดทั้งที่เราไม่มีปัญหาเรื่องภาษาเลย ขั้นตอนก่อนและหลังการเดินทางยุ่งยาก เสียเงินเยอะกว่าทุกๆ ประเทศที่ไป
โดยเฉพาะพวกคลีนิคที่ตรวจ PCR ที่ให้ข้อมูลผิด เพื่อจะชาร์จค่าตรวจแพงๆ โดยขาเดินทางกลับอเมริกา เราจะไปตรวจ ATKที่คลีนิคผิวหนังแบรนด์เกาหลี แถวนานา ชื่อคลีนิคขึ้นต้องด้วย “R” อยู่ในโรงแรม Hyatt ค่าตรวจแบบATK นั้นแค่ 900บาท แต่พอเราไปถึงเจ้าหน้าที่บอกว่า เราเปลี่ยนเครื่องที่เกาหลี เราต้องตรวจแบบ PCR ทั้งที่ปลายทางเราเป็นอเมริกา เราก็คิดว่า น้องๆ พูดเกาหลีได้ ไม่น่าโกหก และน่าจะรู้ดีกว่าเรา แต่ด้วยความที่เราจะบินเย็นวันนั้น น้องๆ บอกต้องตรวจแบบด่วนภายใน 3 ชั่วโมงเท่านั้น ขอแบบ5ชั่วโมง ก็บอกว่า กลัวผลออกช้า สรุปเสียค่าตรวจ PCR แบบด่วนไป เกือบหมื่น สำหรับสองท่าน ซึ่งไปนอน TEST & GOคืนเดียว แล้วเขาตรวจ โควิดให้ฟรี ยังถูกกว่า !
ช่วงนี้ รัฐบาลเปิดโอกาสให้พวกคลีนิคพวกนี้หากินกับนักท่องเที่ยวกันเต็มที่…ในขณะประเทศอื่นๆ มีบริการตรวจ PCR ฟรีหลายที่