บันทึกการเดินทางระหว่าง สนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย กลับมา ฮิวส์ตั้น (เท็กซัส) ช่วงเดือน มกราคม 2024 (ต่อจาก ขามาไทยด้วย ยูไนเต็ดแอร์ไลน์)
อันนี้เป็นบันทึกจากประสบการณ์จริง ไม่ได้อวดรวยหรือ อวดว่านั่งเครื่องบินชั้นธุรกิจ แต่เราอยากเก็บบันทึกไว้ เวลาซื้อตั๋วเครื่องบินคราวหน้าเราจะได้ ใช้เงินที่เราเก็บสะสมมาให้คุ้มทุกบาททุกสตางค์เท่านั้นเอง
ขากลับอเมริกา เราใช้เงินสดซื้อตั๋ว ซึ่งเที่ยวนี้เราเลือกบินมากลับสายการบิน EVA ซึ่งเป็นสายการบินของชาติไต้หวัน ซึ่งหมายความว่า เราจะบินจาก กรุงเทพฯ มาต่อเครื่องที่ไทเป แล้วจากนั้นจากไทเป ไปฮิวส์ตั้นเลย รวมเวลาเดินทางทั้งหมด เพียงแค่ 26 ชั่วโมงเท่านั้น (อยู่บนเครื่องจริงๆ เพียงแค่ 16-17ชมตลอดการเดินทาง)
ราคาของชั้นบิซิเนส ขากลับของพวกเราสองคน อยู่ที่ $5,406.77 (ประมาณ 183,830บาท ซึ่งเป็นราคา และอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันเวลาที่เราเดินทาง) ถามว่าแพงไหม แพงค่ะ แต่เราเริ่มเก็บเงินสำหรับทริปนี้ตั้งแต่สองปีที่แล้ว
แต่ถ้าถามว่า เงินจำนวนนี้ เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับตั๋วเครื่องบินขามา ที่เราเสียไม่กี่พันบาท เพราะใช้ไมล์สะสมแลกมานั้น เราถือว่า มันก็คุ้มค่ะ เพราะไปกลับประเทศไทยทริปนี้ ถือว่า เราเสียเงินค่าตั๋วเครื่องบินชั้นธุรกิจสำหรับเราสองคนเพียงเท่านี้เท่านั้น
แต่…มันไม่มีอะไรเป็นไปตามแผนที่เราวางไว้ค่ะ เราต้องเลื่อนวันกลับด่วน และต้องเปลี่ยนตั๋วเครื่องบินด่วน โดยระบบแจ้งว่า เราสามารถเปลี่ยนได้ แต่มีค่าเปลี่ยนแปลงคนละ $750 หรือ คนละ 25,000 บาท ซึ่ง เราเปลี่ยนกันสองคน ก็เท่ากับว่า เราต้องเสียค่าตั๋วเครื่องบินเพิ่ม อีก $1,500 หรือประมาณ 50,000 บาท!!!
ทำให้ตั๋วเครื่องบินขากลับของพวกเราสองคน อยู่ที่ $6,906.77 ไปเลย ค่าเปลี่ยนตั๋วในชั้นเดียวกัน ไม่น่าแพงขนาดนี้เลย
นอกจากนั้น เที่ยวบินที่เราเปลี่ยนได้คราวนี้ เราต้องรอต่อเครื่องถึง 14 ชั่วโมงค่ะ เรียกว่า แพงทั้งค่าเปลี่ยนตั๋ว และ ต้องรอเปลี่ยนเครื่องนานมากๆ
ครั้งนี้เป็นการบินครั้งแรก กับ EVA ซึ่งเขามี เล้าจ์ ให้บริการค่อนข้างใหญ่โตทั้งที่สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินที่ไทเป อาหารในเล้าจ์ที่ไทยดูเรียบๆ ง่ายๆ แต่อร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ
ที่ดิวตี้ฟรีของสุวรรณภูมิมีของขายหลากหลาย ทั้งยาดมยาหม่อง ราคาก็ไม่ต่างจากข้างนอกเท่าไร
ที่เราผิดหวังคือ การบอร์ดดิ่งของสายการบินทั้งที่ไทย และที่ไทเป ดูชุลมุนวุ่นวาย ไม่สามารถแยกออกว่า ผู้โดยสารคลาสอะไร บอร์ดดิ้งแถวไหนกันแน่ พนักงานก็ดูโบกป้ายไปมา แต่ไม่ได้ช่วยเรื่องแถวหรือขั้นตอนได้ดีเลย
เครื่องบิน ที่เราบินออกจากกรุงเทพฯ นั้น ที่นั่งไม่ค่อยประทับใจ ค่อยข้างขยับตัวยาก (ขนาดเราตัวเล็ก ยังรู้สึกอึดอัด) แล้วเวลาปรับนอน เราจะเลื่อนเอน ไถลง จน จอทีวี อยู่ตรงหน้าพอดี คือ เราดูทีวีไม่ได้เลยเวลานอน เพราะ ใกล้ตาเกินไป
เมื่อถึงสนามบินไทเป เวลาที่เรามาถึง เห็นเขาต่อแถวเพื่อเข้า security check แถวยาวเหยียด โชคดีที่เราได้เป็นแถว priority เลยกระโดดข้ามมาข้างใน ซึ่ง แถวสั้นมาก ไม่งั้นเราต้องเดินย้อนหลังไปต่อแถวเขาอีก คือกว่าจะรู้ว่าเป็นแถวอะไรก็มาอยู่ต้นแถวแล้วค่ะ (งงไปเลย)
เมื่อมาถึงสนามบินไทเป แล้วเราเดินไปพักที่เลาจ์ทันที เพราะเราออกเดินทางจากไทยมาก่อนเที่ยงคืน มาถึงที่นี่ก็เกือบ หกโมงเช้า ง่วงและเพลียมาก เราตั้งใจหาที่นอนพักเงียบๆ เพราะต้องรอต่อเครื่องอีก 14 ชั่วโมง
ลงแล้วรอรถมารอรับ…หนาวมาก อย่าประมาทเหมือนคุณผู้ชาย คือไม่ยอมพกเสื้อกันหนาวมา สุดท้ายต้องใส่เสื้อยืดเพิ่มอีกตัวข้างใน เพราะในสนามบินฯ ก็หนาวเช่นกัน
โชคดีที่เดินมาเจอเก้าอี้แบบปรับนอนได้ พวกเราสองคนดีใจมาก แต่ผ้าห่มที่นี่หมด เจ้าหน้าที่บอกว่าเมื่อมีผ้าห่มจะรีบเอามาให้ แต่สุดท้าย เราอยู่ที่นี่กว่า 12ชั่วโมง ก็ไม่มีผ้าห่มมาให้พวกเรา แอบผิดหวังนิดๆ เพราะเขามีป้ายว่า มีผ้าห่มให้บริการ แต่จริงๆ แล้วไม่มี
ความโชคดีในความโชคร้ายคือ คนที่นอนเก้าอี้ข้างๆ กรนดังมากๆ ค่ะ ดังจริงๆ ดังจนเรานอนไม่ได้เลย ย้ายก็ไม่ได้เพราะมีเก้าอี้แบบนี้ที่นี่เท่านั้น เราเดินไปขอที่อุดหู ก็ได้มาแค่คู่เดียว
สักพักใหญ่ๆ แบบสองสามชั่วโมงต่อมา คนที่นอนกรนเดินจากไป พวกเราดีใจมาก เราจะได้นอนพักเสียที
เราได้นอน และหลับทันทีเพราะเหนื่อยมาก แต่ไม่กี่นาทีหลังจากที่เราได้หลับ เราได้ยินเสียงคนคุยโทรศัพท์เสียงดังมากๆ อยู่ข้างๆ เมื่อหันไปดู ก็เป็นชายคนเดียวที่นอนกรนเสียงดัง (นอนก็กรนดัง ตื่นมาก็คุยดัง) บอกเลยว่า ซวยจริงๆ มาเจอคนแบบนี้ 555 แต่เราก็ยังโชคดีที่ไม่ได้เจอเขาบนเครื่องบินอีก…
อาหารในเลาจ์ EVA ที่ดีที่สุด สำหรับพวกเรา น่าจะเป็นของเรื่องเครื่องดื่ม โดยเฉพาะกาแฟ ซึ่งพวกเราจะไม่ดื่มแอลกอฮอล์ในเลาจ์อยู่แล้ว แต่เขาก็มีเครื่องดื่มหลากหลาย ส่วนอาหารก็ธรรมดาๆ ที่เราชอบอีกอย่างหนึ่งก็คือ มันหวานอบโอ่ง แต่การอยู่ในเลาจ์มากกว่า 10 ชม เดินวนไปมา ก็เบื่อค่ะ ไม่รู้จะกินอะไรดี
พวกเราอาบน้ำที่นี่ด้วย เพราะมันก็นานข้ามวันเลยทีเดียว โดยเราต้องเอาตั๋วเครื่องบินไปแลกกุญแจห้องอาบน้ำ ซึ่งเขามีป้ายขอว่าให้ใช้บริการท่านละ 20 นาที เราสระผมด้วย ก็เลยนานหน่อย การอาบน้ำที่นี่ก็ช่วยให้เรารู้สึกสดชื่นพร้อมเดินทางต่อมากขึ้น
ดิวตี้ฟรีที่นี่ ไม่ค่อยน่าตื่นเต้นอะไร เพราะเราไม่ใช่แฟนของใช้ที่ไต้หวัน เพราะถ้าเป็นที่ญี่ปุ่น หรือ เกาหลี เหมือนจะมีอะไรให้เราอยากซื้อมากกว่า ที่ไทเป เราก็สามารถซื้อของดิวตี้ฟรีทั่วไป ครั้งนี้เราซื้อวิสกี้มาเป็นของขวัญให้เพื่อนเราด้วย เพราะพวกเขาช่วยดูแลน้องหมาให้เรา
พนักงานบอกว่า เขาอนุญาติให้ถือเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์เข้าประเทศ(อเมริกา) ได้คนละ 1 ลิตร เราเลยซื้อไวน์บ๊วยมาด้วย
เอาจริงๆ เราชอบทานบ๊วยมาก ก็เลยสุ่มๆ ซื้อมาสามห่อ ก็อร่อยดี (ยกเว้น อันซ้าย บ๊วยแห้ง ไม่อร่อยเลย 55) สนนราคากล่องละประมาณ 200 บาท นอกจากนี้ มองไปทางไหนก็จะมีขนมไส้สับปะรดเต็มไปหมด
พอถึงเวลาขึ้นเครื่อง ก็อย่างที่บอกว่า สายการบิน EVA ต้องปรับปรุงการบอร์ดดิ้งมากๆ แอบคิดถึงช่วงที่มีโควิด19 ถึงแม้จะเดินทางยากลำบาก แต่ก็ไม่วุ่นวายแบบนี้
(จากรูป GATE C8 ที่ต้องเดินเข้าไปข้างในประตู ตอนแรกเรารอกันอยู่ข้างนอก แต่จริงๆ ต้องเดินเข้าไปรอข้างในประตูอีกทีหนึ่ง พอเดินเข้าไปข้างในถึงจะเจอเค้าเตอร์เจ้าหน้าที่) สิ่งหนึ่งที่เรียนรู้จากทริปนี้คือ คนไต้หวัน บินมาอเมริกา กันเยอะมากๆ เที่ยวบิน EVA เต็มแน่น จนต้องประกาศขอให้คนที่มี carry on สองใบ เอามาโหลดใต้เครื่องฟรี คนละหนึ่งใบ (โดยให้ถือขึ้นเครื่องแค่คนละใบเดียวเท่านั้น แต่เราชั้นธุรกิจ ที่วางกระเป๋า เรามีมากพออยู่แล้ว)
แต่พออยู่บนเครื่องฯ พนักงาน ถ้าเขาเห็นเราเหมือนคนเอเซีย เขาจะพูดภาษาจีนไต้หวันกับเราทันที กว่าจะรู้ว่า เราพูดภาษาจีนไม่ได้ ก็ผ่านไปหลายประโยคมากโดยที่เราไม่รู้ว่า เขาพูดว่าอะไร
EVA ใช้พนักงานบนเครื่องเยอะมากๆ โดยเฉพาะชั้นธุรกิจ สาวๆ เดินกันวุ่น ขนาดเครื่องออกตัว ทุกคนก็ยังเดินมาคอยดู ทุกอย่างเรียบร้อยไหม ถ้าผู้โดยสาร ยังมีกระเป๋าถือแนบข้างๆ เขาจะหยิบเอาเก็บใส่เก็บของทันที เรียกว่า เขาเดินเช็คทุกอย่างกับทุกคน แล้วหยิบจับโน่นนี่ให้เข้าที่เข้าทาง บางทีเราก็แอบตกใจ เพราะเขาเอื้อมมือมาจัดนั่นจัดนี่ให้เราตลอด
ยิ่งพอจะเสิร์ฟอาหาร เรายังแอบแซวกับทิมว่า อีกนิด เขาจะป้อนข้าวใส่ปากให้เราแล้วอ่ะ คือ ดูแลดีเกินไปจริงๆ
แต่ใดๆ แล้วอาหารบนเครื่องคืออร่อยมาก อย่างมื้อค่ำที่เราเลือก เราเลือกก๋วยเตี๋ยวไก่ ดูหน้าตาธรรมดามากๆ แต่รสชาดอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ! เขาเสิร์ฟร้อนๆ ด้วย ของทานเล่นของเราก็กุ้งล้อปเตอร์ที่ตอนกินโดนเนื้อแล้วแอบตกใจ นี่มันล้อปสเตอร์เป็นชิ้นๆเลยนะ!
ความชอบเราส่วนตัวเลย ถ้าหากเป็นสายการบินญี่ปุ่น หรือ ไต้หวัน เขาจะมี ไวน์บ๊วยที่เราชื่นชอบ (แต่ถ้าฝั่งยุโรป เราก็จะสั่ง เป็น Port wine ซึ่งจะออกหวานๆ เหมือนๆ กัน)
อาหารของฝั่่งคุณผู้ชายของเรา ก็ดูหรูหรา แต่เขาไม่ได้ถ่ายรูป เขาบอกว่า ของทานเล่นเป็นทาร์ตที่โรยด้วยไข่คาเวียร์ และเสิร์ฟกับไวน์ที่ทำมาพิเศษให้ทานคู่กัน เรียกว่า อาหารบนเครื่องเขาดีจริงๆ ค่ะ
หลังจากทานเสร็จแล้ว นอกจากเขาเก็บถาดอาหารเรียบร้อยไปแล้ว เขาจะมาปูผ้าเพิ่มบนที่นั่งเราอีกด้วยค่ะ แถมแจกของใช้บนเครื่อง ซึ่งเราถือว่า ค่อนข้างไฮโซ และใช้ได้จริงๆ
แต่ที่เซอร์ไพร์สเข้าไปอีก คือเขาให้ชุดนอนคนละชุดอีกด้วยค่ะ แล้วเป็นชุดนอนที่ตัดเย็บดีมากๆ ผ้านิ่ม พวกเรายังใส่นอนกันที่บ้านตลอดเลย (เหมาะกับหน้าหนาวมาก) นอกจากชุดนอน ก็มีรองเท้าให้สวมใส่เดินบนเครื่อง ของใช้ทุกอย่างเขาแจกแล้ว เอากลับมาใช้ต่อได้จริงๆ ไม่กลายเป็นขยะเหมือนสายการบินบางเจ้าเลยค่ะ
หลังจากเสิร์ฟอาหารแล้วเราทานเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจะขอปูผ้ารองที่นั่งให้นอนสบายๆ อีกด้วยค่ะ
หลังจากทานอาหาร เราก็หลับยาวไป 8 ชั่วโมงตื่นมาอีกที ก็เหลือแค่สองชั่วโมงเครื่องก็จะถึงฮิวส์ตั้นแล้วค่ะ เรียกว่า ไกลก็เหมือนใกล้ เพราะ การหลับ ฆ่าเวลาเดินทางไปเยอะเลย
ตอนตื่น เขาเสิร์ฟอาหารเป็นอาหารเช้า (แต่ที่หมายเราคือ สามทุ่ม) เราจึงเลือกเป็นข้าวต้มธรรมดา ที่อร่อยไม่ธรรมดาเลย (อีกแล้ว อร่อยมากๆ ทุกวันนี้ เห็นรูปทีไร น้ำลายไหลเลยค่ะ) ซึ่งทิมก็เลือกเป็นก๋วยเตี๋ยวกระดูกหมู และทิมก็ชมเช่นกันว่า อร่อยมากๆ เสียดายที่ทิมไม่ถ่ายรูปอาหารเลย และเราก็เอื้อมไปถ่ายไม่ไหวค่ะ
สรุปๆ อาหารบนเครื่อง EVA นั้นดีมากๆๆๆ
ถ้าเราจะให้คะแนนสายการบิน EVA ครั้งนี้ เราคิดว่า 7/10 เท่านั้น หักไปสามคะแนน เพราะ 1.ค่าเปลี่ยนตั๋วแพงมาก 2.บอร์ดดิ้งไม่ค่อยประทับใจ 3. สนามบินไทเป ก็ธรรมดาไปสำหรับเรา เล้าจ์ของ EVA ขออะไรก็หมด ผ้าห่มหมดก็หมด จะเอามาให้ก็ไม่ให้ แกล้งลืมพวกเราไป อะไรประมาณนี้ค่ะ
เมื่อมาถึงสนามบิน HOUSTON (IAH) แล้ว หลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เวลาออกไปรอรถที่มารับ คนจะยืนรอตรงหน้าทางออก ทำให้แถวยาว จริงๆ แล้วเดินหนีมาจากหน้าทางออกจะดีกว่า แล้วมองดูป้าย เขาจะเขียนว่า column ที่เท่าไร ถ้าใครเรียก UBER เขาก็จะถามว่าเราว่า รอที่เสาเบอร์ที่เท่าไรนี่แหล่ะค่ะ