กลับไทยปีนี้ เราบินจากฮูสตั้นไป นิวเจอซี แล้วไป มิวนิค ที่เยอรมันนี ก่อนจะบินอีกสิบชั่วโมงไปสุวรรณภูมิ บินมาทางฝั่งนี้ เที่ยวนี้ก็ดี เวลาไม่เลวร้าย เพราะเริ่มเดินทางบ่ายๆ ไม่ใช่แต่เช้าตรู่เหมือนเคย ระยะเวลาเดินทางก็พอๆกัน คือรวมๆ แล้ว 28-29 ชม.
จากฮูสตั้น เราบินด้วยสายการบินยูไนเต็ด บินไปลงที่นิวาร์ก รัฐนิวเจอซีย์ เที่ยวนี้เรานั่งชั้นประหยัด แค่เพิ่มที่นั่งให้คุณผู้ชาย เพราะบินไม่กี่ชั่วโมง แต่ก็ยังได้สิทธิ์เข้า lounge ของยูไนเต็ด ซึ่งไม่ได้มีอะไรมากมาย กล้วยที่มีให้ก็เปลือกเป็นสีเขียวเลย ตอนแรกก็คิดว่ามันเป็นพันธุ์สีเขียว ก็เลยไปหยิบมาลอง โหย ฝาดมาก คือ งง เอามาแจกให้เอากลับไปกินที่บ้านพรุ่งนี้?
มาถึงนิวเจอซีย์แล้ว ต้องเปลี่ยนอาคาร จาก A ไป B ซึ่งเขามีรถบัสคอยรับส่งระหว่างสถานี ขึ้นรถบัสแล้ว เรานั่งมาเกือบๆ สิบนาที เขาก็จอด แล้วคนก็ลงกันหมด ยกเว้นเราสองคน นี่มันเป็นอาคาร C แล้วพนักงานข้างล่างก็ตะโกนถามเราว่า “ทำไมไม่ลง จะไปอาคารไหน” เราก็บอกว่า “อาคารB” เขาก็บอกว่า ต้องมานั่งข้างหน้า ข้างคนขับนะ พวกเราก็ย้ายมานั่งข้างหน้า แล้วก็ถามกันเองว่า ใครจะไปรู้ว่ะ ว่าต้องนั่งตรงไหน ตอนขึ้น คนขับรถก็ไม่ได้พูดหรือบอกอะไร เราก็นั่งรถต่อไปอีก ไปลง ที่ B คือถ้าหากรีบๆ หัวใจวายแน่ๆ แต่โชคดีที่พวกเรามีเวลา
ต่อจากที่นี่ เราจะบินกับ Lufthanza ตั๋วเราเป็น business class ก็ได้เข้าไปนั่งใน lounge ของเขา ก็เป็นเล้าจ์เล็กๆ ไม่มีอะไรมาก แต่ก็ยังดีมีน้ำ ขนม อาหาร เครื่องดื่มให้ เรารออีกประมาณ สองชั่วโมงก็ได้ขึ้นเครื่อง
บริการบนเครื่องก็ไม่ได้หรูหราอะไร ของที่แจกก็พอได้ใช้ อาหารก็ปกติ แต่ดูเหมือนไม่ค่อยสะอาด อย่างหูฟัง เขาก็วางไว้ให้เลย ไม่รู้ทำความสะอาดหรือเปล่า เราก็ใช้ผ้าแอลกอฮอล์เช็ดกันเอง อาหารและเครื่องดื่มก็รสชาดปกติ น่าจะเป็นชั้นธุรกิจแบบไม่ถูกด้วยมั้ง
บินจากนิวเจอซีย์ไป มิวนิค ที่ประเทศ เยอรมันนี ใช้เวลาแค่ 7 ชั่วโมงเท่านั้น
ถึงสนามบินมิวนิค เยอรมันนี แล้วเราก็มองหา lounge ก่อน ที่นี่ดูเหมือนจะดีสุด เพราะกว้างขวางมีอาหารและขนมเติมพร้อมเปลี่ยนเมนูด้วย เราต้องรอเครื่องอีก 4 ชมที่นี่ แต่แม่บ้านที่ทำความสะอาดห้องน้ำที่เล้าจ์ ดูจะเหวี่ยงมาก ทำไปบ่นไป บ่นเป็นภาษาเยอรมันใส่เราด้วย ทำหน้าตาขึงขัง ทิมก็บอกว่า ตอนไปขออาบน้ำ เขาก็ดูเหวี่ยงๆ เหมือนไม่เต็มใจให้บริการ…
เครื่องบินเที่ยวนี้เป็นของการบินไทย บินตรงจากมิวนิคไปกรุงเทพฯ วันนี้คนในชั้นธุรกิจน้อยมาก มีไม่ถึงครึ่ง พนักงานก็ดูจะบริการดีเป็นพิเศษ ของแจกก็ดูดี เป็นเวอร์ชั่น จิมทอมสันต์ อาหารก็อร่อย สำหรับเรามีแอบเค็มบ้าง แต่ก็อร่อยที่สุดจากสามเที่ยวบินครั้งนี้แล้ว ใช้เวลาบิน 10ชม เราได้นอนแค่ 5 ชม ถ้าบินยาวๆ เราก็จะนอนได้ยาวกว่านี้
ถึงไทยตอนประมาณ หกโมงเช้า เมื่อกัปตันประกาศทักทายพร้อมรายงานการบิน เรายังแอบคุยกันว่า เสียงกัปตันเด็กมากๆ เหมือนเด็กเพิ่งจบใหม่ๆ เลย
ถึงสุวรรณภูมิฯ ที่อาคารอะไรก็ไม่รู้ ที่เราต้องนั่งรถไฟฟ้าในการเปลี่ยนอาคาร แต่ช่วงเวลาที่ถึงตอนนี้ แถวตรวจคนเข้าเมืองสั้นมากๆ ไม่ว่าจะเป็นแถวของคนไทย หรือคนต่างชาติ คือเดินผ่านฉลุย ไม่ต้องรอคิวยาวเลย
แถมครั้งนี้ได้รับกระเป๋าเดินทางครบสามใบในเวลาเดียวกัน!
แต่ตอนออกจากสนามบินฯ เราก็เดินตรงดิ่งมาที่เค้าน์เตอร์แท็กซี่ ก็เห็นว่าแท็กซี่มิเตอร์ (ไฟฟ้า) พวกเราก็นึกว่าเป็นเค้าน์เตอร์แท็กซี่ใหม่ แต่พอเดินไปถามเขาก็จับขึ้นรถแท็กซี่ไฟฟ้า โหย เสียค่ามิเตอร์กับค่าทางด่วนไปเกือบ 700 (แท็กซี่ปกติ ไม่เกิน 300-400 แน่ๆ เพราะจากสุวรรณภูมิ มาแค่ ห้วยขวางเอง)
แว่บแรกที่มาถึงตึกคอนโดฯไลฟ์ ห้วยขวาง เราก็ยังเฉยๆ แต่พอได้ขึ้นห้องที่เราจอง (airbnb) ที่อุตส่าห์เลือกมาเป็นเดือนๆ เพราะเราอยากได้ห้องแบบ 2ห้องนอน2ห้องน้ำ แต่พอเปิดประตูเข้าไป ห้องมีกลิ่นอับ และร้อนมาก เราก็รีบเปิดแอร์ฯกัน มองไปรอบๆ คือห้องมีการปัดกวาดเรียบร้อย แต่ถ้ามองเจาะลึกๆ จะรู้ได้ว่า ห้องสกปรกเหมือนกัน
โดยรวม พวกเราก็แอบมีอึ้ง ว่าจะอยู่ต่อ หรือ ยกเลิก เพราะ ดูเหมือน จะไม่สวยเหมือนรูป ก็มานั่งคิดว่าเงินที่จ่ายไปล่วงหน้า 1 เดือนก็ไม่ใช่น้อย เกินครึ่งแสน เราเลย ลองทำความสะอาดดู ก็จัดแจงลงไปซื้อน้ำยาความสะอาด น้ำยาซักผ้า มาเริ่มทำความสะอาด ซักเกือบทุกอย่าง โดยเฉพาะผ้าห่ม บางอย่างไม่ได้ใช้ก็ซัก เพราะคิดว่า อาจจะทำให้ห้องหอมสะอาดขึ้น!
คืนแรก พวกเราน่าจะสลบเพราะเดินทางมาเหนื่อย แต่ ขอบอกว่า หมอนเหม็นมากๆ ขนาดเราเปลี่ยนปอกหมอนเป็นของเราเอง แถมเตียงนอนก็ดูเหมือนไม่แข็งแรง ซึ่งทิมเขาก็ตัวใหญ่ เวลาพลิกตัวที เหมือนเตียงจะเขาจะพังหรือเปล่า
ตอนเช้า พวกเราเริ่มเอาของออกจากกระเป๋าและจัดเป็นที่เป็นทาง เสื้อผ้าเอาออกมาแขวนพร้อมใส่ ทิมชงกาแฟเองได้ การมีห้องน้ำสองห้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของห้องนี้
สุดท้ายเราพบว่าประตูสไลด์ไม่สามารถล็อคได้ เราก็แจ้งให้เจ้าของทราบ เขาก็บอกว่า เดี๋ยวจะลองดำเนินการให้
โดยรวมเราคุยกันว่า อยู่ไปเหอะเน๊อะ เพราะจริงๆ เดี๋ยวเราก็ออกไปเที่ยว ตจว หรือ เวียตนามอีก จริงๆ อยู่ห้องแค่ไม่กี่อาทิตย์ แต่ขออย่างเดียว ขอไปซื้อหมอนใหม่ เพราะ มันเหม็น และหนุนไม่สบายเลย
วันนี้ (วันที่มาถึงไทยเป็นวันที่2) พวกเราก็เลยนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปทานข้าวที่ตลาด อตก ซึ่งทุกคนรู้ว่า เป็นที่โปรดของทิม จากนั้นเราก็แว่ะเซ็นทรัลลาดพร้าว เพื่อจะทำธุรกรรมเกี่ยวกับธนาคาร และก็จะหาซื้อหมอนด้วย
เราอยากไปทำหน้า เพราะตอนที่มาไทยครั้งก่อน ซื้อแพคเกจไว้ แล้วเหลือครั้งนึง ก็เลยจะรีบๆ ทำให้หมดไป แต่ช่วงที่รอนัด เราก็เลยไปตัดผม ซึ่งปกติทิมจะต้องขอกลับมารอเราที่ห้อง แต่ครั้งนี้แปลก ทิมบอกว่า จะนั่งนวดเท้ารอ เราตัดผมเสร็จก็เดินไปจะทำหน้าต่อ ซึ่งคลีนิคเขาอยู่ชั้น 11 พอขึ้นไปถึงตามนัดแล้ว ทางคลีนิคแจ้งว่า เครื่องเลเซอร์ฯพัง เราก็แบบ งง พังตั้งแต่เมื่อวาน ทำไมไม่บอก ให้มาเสียเวลาทำไม แต่เราก็ไม่ได้พูดว่าอะไร ก็เดินออกมา เข้าห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัว แล้วก็ลงมาชั้น 1 ซึ่งตอนนั้นทิมยังนวดไม่เสร็จ เราก็เลยเดินไปช้อปปิ้งเองต่อ ไปลองเสื้อผ้าเล่น ขณะที่จะลองก็อืม ง่วงนอนจัง สงสัยจะ jet lag ก็อดทนขยี้ตาเอา ลองเสื้อผ้าเล่นต่อ กำลังจะออกมาจ่ายเงิน ปรากฎว่า เห็นราวเสื้อผ้าโยกไปมา ส่วนตัวก็คิดว่า โหยนี่เรา jet lag แบบนี้เลยเหรอเนี่ย สักพักเหมือนมันโยกทั้งตึก แล้วคนก็ตะโกนกันโวยวาย เราก็ฟังไม่ได้ศัพท์เลย เพราะเราหมอบลงใต้โต๊ะ จากนั้นคนก็เริ่มวิ่งหนีกรูกัน เราได้ยินเสียงพนักงานตะโกนว่า ลูกค้าไปค่ะ ต้องออกไปจากตึก ตอนนั้นคิดแต่ว่า ตึกจะถล่ม เพราะว่า ตึกไม่แข็งแรง ตึกมันเก่าแล้ว คือไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเลย วิ่งออกไปกับเขา พอออกไปด้านนอก คนก็ยืนถ่ายรูปตึกฝั่งตรงข้ามกัน เราก็ยังงงว่าเขาถ่ายอะไรกัน เหมือนสระน้ำมันไหลจากชั้นบน ตอนนั้นก็โทรหาทิมไปด้วย โทรติดมั่งไม่ติดมั่ง แต่สุดท้ายคุยกันว่า เราจะเดินไปหาเขาที่ร้านนวด(ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเซ็นทรัลลาดพร้าว) ตอนเดินไปก็ผ่านฝูงชนมากมาย ก็ยังไม่รู้ว่า เกิดอะไรขึ้น ประจวบกับตอนขึ้นเครื่องบินมาก็ดูหนังคิงคองกับกอดซิลล่า ก็คิดว่า ตัวอะไรมันบุกโลกป่ะว่ะเนี่ย เดินไปถึงทิม ก็โกรธเขาว่า เวลาแบบนี้ทำไมไม่ถือโทรศัพท์ เอาใส่กระเป๋าทำไม ใส่แล้วเวลาโทรก็ไม่ได้ยิน และก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์เราเลย
สุดท้ายเรากูเกิ้ลว่าแผ่นดินไหวที่ไหน ก็ถึงรู้ว่า แผ่นดินไหวที่พม่า (ซึ่งตอนกูเกิ้ลเจอ ก็ไม่รู้ข่าวเก่าหรือข่าวใหม่) ผ่านไปเกือบ 15 นาที ก็เริ่มมีข่าวขึ้นฟีดว่า แผ่นดินไหวที่พม่าจริงๆ ตอนนี้เป็นเวลา บ่ายโมงครึ่ง ของวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2568
จากตอนนี้ รถไฟฟ้าหยุดให้บริการหมด พร้อมมีกระแสว่า จะมี aftershock อีก ให้ระวัง พวกเราก็นั่งรอ รออะไรก็ไม่รู้ เพราะทำอะไรไม่ถูก เราจะลองเรียก grab หารถกลับไปคอนโดฯ ทิมก็เบรคเราไว้ว่ารอก่อน ตอนแรกเรียก grab ตอนนั้นแค่ 160กว่าบาท พอรอต่อไปอีก กลายเป็นเกือบๆ 300 กว่าบาท แถมรอนานขึ้น และรถก็ติดมากขึ้น เหมือนขึ้นรถไปแล้วก็อาจจะติดเป็นชั่วโมงๆ ไปอีก
เราเริ่มวางแผนว่าจะเดินจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน พหลโยธิน ไปสถานีถัดไป แล้วถ้าเขายังไม่เปิดให้บริการ ก็จะเดินต่อไปอีกสถานีหนึ่งเรื่อยๆ ไป
สรุป เราเดินจากเซ็นทรัลลาดพร้าว กลับไปถึง คอนโดที่ห้วยขวาง ก็น่าจะประมาณ 8กม กว่าๆ ช่วงที่เดินเราก็โทรไปจอง รร Jace ด้วย เพราะเป็น รร ใหม่ และสูงแค่ 8ชั้น
ทิม ยังคงมีความหวังว่าจะได้กลับเข้าคอนโดฯ ในคืนเกิดเหตุฯ เพราะเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเลย ซึ่งเราก็ยังไม่ได้เห็นคลิปอะไร ตอนที่เดินมาถึงคอนโด (ซึ่งเป็นตึกสองตึกข้างๆ กัน) ก็เห็นว่าทุกคนอพยพลงมานั่งรอกันที่ป้อมยามข้างนอก เราสองคนก็ยังคิดว่า ลองรอดูสถานการณ์ดู ช่วงที่นั่งรอก็มีอะไรก็ไม่รู้หล่นมาจากตึกเสียงดังลั่น คนก็วิ่งหนีกระจัดกระเจิงกัน เราบอกทิมว่า รอไปก็ไม่ได้เข้าห้องแน่นอน เดินไป รร กันเถอะ ซึ่งรร ห่างจากจุดนี้ไปประมาณ 1.5 กม พวกเราถึงรร ก็เกือบๆ 6โมงเย็น ที่ รร ก็ค่อนข้างวุ่นวาย แต่ก็ต้องขอบใจน้องๆที่รับโทรศัพท์แล้วเก็บห้องไว้ให้เรา ทั้งที่ไม่ได้จ่ายเงินเลย พอพวกเราได้เข้าห้อง ได้อาบน้ำก็สลบไปเลย แต่ก็แอบคิดตลอดว่า เราจะกลับไปเอาของที่คอนโดฯ ยังไง
ช่วงกลางคืนนั้น เริ่มมีคลิปต่างๆ ทยอยโพสต์กันบนสื่อต่างๆ หนึ่งในคลิปที่เป็นไรวัล ของคลิปที่น้ำจากสระว่ายน้ำชั้นบนของคอนโดฯที่เราเช่าทะลักล้นไหลท่วมตึก พวกเราก็เริ่มแบบ อ้าว เราจะกลับไปเอาของเราได้ไหมเนี่ย!!!
มันช่างเป็น 24 ชั่วแรกในการกลับมาเที่ยวประเทศไทยที่ตื่นเต้น และทรหดจริงๆ
เช้าวันรุ่งขึ้นเรากลับไปเก็บของ โทรถามคนขับรถรับจ้างที่รู้จักเขาคิดว่า ค่ารถ 1000บาท ตอนนั้น เราก็เออ ไม่น่าแพง เพราะเรามีกระเป๋า สามใบใหญ่ แต่พอเราเริ่มเรียก grab เป็น ก็เลยรู้ว่าแพง 555
ตึกเริ่มเปิดปกติ ใช้ลิฟท์ได้ เราก็เลยรีบขนกระเป๋าลงมา และย้ายไปอยู่ รร Jace ชั่วคราว จนเราหาที่อยู่ใหม่ได้ในเวลาต่อมา
ในความน่ากลัวก็กลายเป็นความโชคดี ที่เราได้ย้ายไปคอนโดฯใหม่ ดีกว่า ใหม่กว่า สะอาดกว่า และปลอดภัยกว่า แต่ถึงอย่างไร เราก็ต้องขอขอบคุณเจ้าของคอนโดฯเก่า ที่ยินดีให้เราออก พร้อมคืนเงินที่เหลือ (คิดแค่สองคืน คืนมาถึงกับคืนที่หนีแผ่นดินไหว) เราเลยไม่เสียหายมาก…
ทริปในไทยครั้งนี้เริ่มจริงก็ประมาณวันที่ 4-5 ตอนที่เรามีที่อยู่ใหม่ และดูปลอดภัยกว่าเดิม แต่ทุกคนก็ยังหวาดหวั่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเราไม่เคยแผ่นดินไหวที่รุนแรงขนาดนี้มาก่อนเลย
Leave a Reply