เที่ยวน้ำตกสองน้ำตก Cheonjeyeon , Eongtto ช้อปสินค้าชาเขียวที่ ไร่ชาเขียว Osulloc มื้อกลางวันทาน Seafood Hotpot ที่Samsunghyeol Haemultang แว่ะถนนต้านแรงโน้มถ่วง “Mysterious Road” ตอนเย็นแว่ะไหว้พระที่วัด Sanbangsan และไปเดินชมพระอาทิตย์ตกดินที่เขา Mt. Song-ag
(English)
วันนี้ พยายามอัดแน่นๆ แต่ก็ไม่กดดันกันมาก แต่ส่วนใหญ่อะไรๆ ที่เกาเชจู จะมีเวลาเปิดปิดกัน (ส่วนใหญ่จะปิดประมาณ 6โมงเย็น) ช่วงเช้าซึ่งพวกเราคิดว่าเป็นช่วงที่เหมาะกับการไปเที่ยวดูน้ำตก เพราะว่า เดือนสิงหาคม อากาศที่เกาะเชจูค่อนข้างร้อน ถึงร้อนมาก
ก่อนเดินทางตั้งใจที่จะแว่ะทานอาหารเช้าแบบเบาๆ ที่สตาร์บัค Ripley’s Believe It or Not Museum (อยู่ติดกับโรงแรมพอดี ) ที่นี่เป็นสตาร์บัคที่ตกแต่งร้านด้านนอกประหลาดดี แม้ว่ารสชาดของกาแฟของสตาร์บัคจะไม่ใช่รสชาดที่พวกเราโปรดปราน จากนั้นก็ไปต่อที่น้ำตกกันเลย
น้ำตกแรกคือ Cheonjeyeon อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมเราเลย ประมาณ2-3 กม ได้ ที่นี่ประกอบได้ด้วยน้ำตก 3น้ำตก ซี่งระยะทางระหว่างน้ำตกค่อนข้างจะห่างกันสักนิดหน่อย โดยเฉพาะจากน้ำตกที่2 ไปน้ำตกที่3 ดังนั้นอย่าลืมพกน้ำดื่มติดตัวไปด้วย
เดือนสิงหาคม ไม่น่าจะเป็นเดือนที่เหมาะกับการมาเที่ยวน้ำตกสักเท่าไร แต่ที่นี่ก็ยังมีน้ำให้เห็นอยู่บ้าง ชั้นแรกจะมีจุดเด่นตรงที่หน้าน้ำตกมีลักษณะเป็นสระขนาดใหญ่ น้ำใสเป็นสีมรกต
จากนั้นก็เดินไปที่น้ำตกที่สอง ที่นี่ขอบอกเลยว่าจะได้ชม และถ่ายรูปตรงบริเวณที่เขาเตรียมให้เท่านั้น ไม่สามารถเดินลงไปเดินเล่นในน้ำ หรือเล่นน้ำตกได้
น้ำตกที่สามค่อนข้างไกล แต่จะมีสะพานชมวิว ซึ่งสูงมากๆ มองลงไปตอนนี้จะเห็นลำธารแห้งๆ ไม่มีน้ำค่ะ
ชั้นที่สามมาถึงแล้วก็ค่อนข้างปกติ โชคดีตอนที่เรามาคนยังมาไม่มาก ก็เลยไม่อึดอัดมากนัก แต่ทางเดินดี แต่ก็ไม่ได้เหมาะกับนักท่องเที่ยวแบบรถเข็ญ หรือผู้สูงวัยเท่าไรนะคะ
เที่ยวน้ำตกที่เกาะเชจู จะออกแนวเดินชื่นชมธรรมชาติ ถ้าไม่ร้อนก็ร่มรื่นดีค่ะ
ไปต่อที่น้ำตกที่2 Eongtto ซึ่งถือเป็นความผิดพลาดของทริปนี้ที่เราเลือกไปที่นี่ เพราะไม่มีน้ำเลย แถมทางไปก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ดังนั้น หากมาเกาะเชจูช่วงซัมเมอร์ (มิถุนายน ถึง สิงหาคม) ก็ควรข้ามน้ำตกนี้ไปเลย
ที่เราพลาดหนักคือน้ำตกที่ดังที่สุดคือน้ำตก Jeongbang ซึ่งเป็นน้ำตกเดียวในโลกที่น้ำตกลงสู่ทะเล แต่พวกเราไม่ได้ไป…(เอาไว้ครั้งหน้านะ ถ้ามีโอกาส)
จากนี้ก็ขับไปไร่ชาเขียว Osulloc ไร่ชาที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ เราไม่ได้ไปดูไร่ชา หรือถ่ายรูปกับไร่ชาที่กว้างขวางเหมือนคนอื่นๆ แต่ตั้งใจไปทานไอศกรีมชาเขียว และผลิตภัณฑ์ชาเขียว เพราะเราชื่นชอบชาเขียวเป็นพิเศษ
สินค้าที่เราชื่นชอบมากที่นี่ก็คือ ที่มาส์คหน้าชาเขียว (ดีมากจริงๆ มาส์คปุ๊บ หน้าเนียนปั๊บจริงๆ กล่องละ 6000วอน มี6 แผ่น) และนมข้นชาเขียว (ไว้ทานกับขนมปัง) กับขนมชาเขียว (อร่อยมาก เข้มข้ม มากๆ) จริงๆ มีผลิตภัณฑ์น่าสนใจมากมาย แต่ด้วยความที่คนเต็มร้านไปหมด ก็เลยซื้อเท่าๆ ที่หยิบได้
จากตรงนี้ ขับขึ้นไปทางสนามบิน ไปร้าน Samsunghyeol Haemultang เพื่อไปทานซีฟู้ดหม้อร้อนค่ะ ร้านนี้ถ้าหากอ่านภาษาเกาหลีไม่ออก จะหายากหน่อย แม้ว่า GPS จะพาไปถูก แต่ร้านก็เป็นร้านเล็กๆ อยู่ตรงหัวมุม
เมนูวันนี้อาจจะดูโหดร้ายสำหรับคนรักสัตว์ เพราะเขาเอาหอย กุ้ง ปู และปลาหมึกสดๆ ใส่มาในหม้อขนาดใหญ่เลย (หม้อใหญ่มากๆ จริงๆ) สดแค่ไหนเหรอค่ะ ก็เกือบทุกตัวยังเคลื่อนไหวกันได้
แต่ทางร้านอาหารจะมีคนมาคอยดูแล ต้มให้เราทาน อย่างคล่องแคล่ว
ในตอนท้ายสุดเขาจะเอาเส้นก๋วยเตี๋ยวสำเร็จรูปมาใส่ให้ค่ะ ซึ่งพอต้มสุกแล้วเส้นเหนียวนุ่มมากๆ
ไปๆ มาๆ เราชอบมากกว่าบาร์บีคิวหมูดำอีก
ทานเสร็จไปขับรถไปย่อยที่ถนนประหลาด Mysterious Road โดยถนนนี้เป็นถนนจริงๆ (ไม่ไกลจากสนามบินมาก) แต่มีช่วงหนึ่งของถนน ซึ่งมีลักษณะเป็นเนินสูง แต่หากปลดเกียร์รถเป็นเกียร์ว่าง รถจะเคลื่อนตัวขึ้นเนินเอง ซึ่งเราก็ไปลองมาแล้ว ปรากฎว่ารถมันเคลื่อนตัวเองจริงๆ
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ จะนำขวดน้ำ ไปลองกลิ้งกัน โดยขวดน้ำ (ขวดกลมๆ) ก็จะกลิ้งขึ้นเนินเช่นกันค่ะ มันมองด้วยตาเปล่ามันเป็นเนินถนนจริงๆ นะ
แต่ประเด็นคือ มีนักท่องเที่ยวทิ้งขยะจำพวกขวดบริเวณนี้เยอะมาก ซึ่งปกติเราจะไม่ค่อยเห็นขยะแบบนี้ในเกาหลีใต้ค่ะ
อีกอย่างคือ ที่นี่คือถนนจริงๆ ซึ่งมีรถขับผ่านตลอด และบางคันก็ขับเร็วมาก นักท่องเที่ยวก็ต้องค่อยระวังกันเอาเอง
จากถนนนี้ จริงๆ เราอยากแว่ะที่อุทยาน Hallasan ซึ่งมีภูเขาที่สูงที่สุดคือ 1950เมตรจากระดับน้ำทะเล แต่ว่า อุทยานเขาปิดประมาณ 5โมงเย็น เราก็เลยขับไปวัด Sangbansa ตั้งอยู่บนเขา ซันบาง
ภายในวัน มีพระประธานองค์ใหญ่ สีทอง ที่ฐานด้านล่างมีระฆังสีทองเรียงราย เอามือรูป เพื่อขอพร ต่อพระพุทธรูป
มีรูปปั้น เจ้าแม่กวนอิม ที่หันหน้าเข้าหาทะเล
และยังมีพระสังฆจาย ให้เอามือรูปท้องเพื่อความมั่งคั่ง ร่ำรวย เงินทอง พวกเราก็ลูบขอพร ของาน (ไม่มีงาน ไม่มีเงินค่ะ)
นอกจากวัดนี้แล้ว ด้านบนยังสามารถเดินขึ้นไปชม ถ้ำที่เกิดจากการปะทุของหินลาวาช่วงการระเบิดภูเขาไฟ ซึ่งปกติเราจะต้องเสียค่าขึ้นไป แต่เรามาตอนเขาปิดขายตั๋วไปแล้ว เราเลยได้เดินขึ้นไปฟรี (คือเราก็เดินตามนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ไป)
ด้านบนก็จะมีโพรงถ้ำที่เกิดจากการระเบิดของลาวาภูเขาไฟ และเขานำพระพุทธรูปมาประดิษฐานไว้ที่นี่ด้วย
ไหว้พระขอพรแบบไม่รีบ ไม่เร่ง แล้วเราก็ขับรถไป Mt. Song-ag ซึ่งขับไปจากวัดเพียง 10นาทีเอง
ณ เทือกเขา Mt. Song-ag นี้มีช่องที่ทหารญี่ปุ่น ใช้คนเกาหลีใต้ ขุดเจาะไว้ซ่อนเรือระเบิดพลีชีพไว้ถล่มเรือของทหารอเมริกันในช่วงสงครามแปซิฟิก
หิน ทรายที่นี่ มีสีดำ เพราะลาวา ที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ
ที่นี่ ด้านบนเป็นที่ถ่ายซีรีย์ดังเรื่อง แด จัง กึม แต่พวกเราเดินเล่นกันข้างล่างค่ะ เพราะเย็นมากแล้ว (เที่ยวที่นี่ ต้องใส่รองเท้าสบายๆ เพราะเดินเยอะมาก)
จบทัวร์วันนี้แบบเที่ยวได้ ถึง 7 ที่เลย!
<< วันแรกเกาะเชจู
>>วันที่สาม วันสุดท้ายเที่ยวเกาะเชจู