หากจะกล่าวถึงที่ที่พลาดไม่ได้ในสิงคโปร์ คงหนีไม่พ้นย่านไชน่าทาวน์ (Chinatown) และยังมีอีกที่ ที่เราอยากจะนำเสนอก็คือย่านบูกิส (Bugis)ค่ะ ทั้งสองที่มีความคล้ายคลึงกัน เพราะเป็นที่ตั้งของวัดจีนและวัดอินเดียที่นักท่องเที่ยวมักจะแว่ะไปสักการะ หรือชมศิลปะของวัดทั้งสอง พร้อมกันนั้นเรายังสามารถจับจ่ายซื้อของราคาถูกได้ทั้งสองที่ อีกด้วย!!!
ขอเริ่มที่ ย่านบูกิสก่อน เพราะว่าพวกเราพักอยู่ตรงย่านนี้พอดีค่ะ บริเวณย่านบูกิสเป็นย่านช้อปปิ้งชื่อดังไม่แพ้ย่านอื่นๆในสิงคโปร์
นักท่องเที่ยวสามารถเลือกช้อป ทั้งในห้างหรู “Bugis Junction” ที่มีสินค้าหลากหลายเหมือนห้างอื่นๆ หรือแม้แต่เลือกซื้อสินค้าราคาถูก ที่มีทั้งของฝากและของที่ระลึกได้ที่ Bugis Street ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับห้างฯ Bugis Junction
ถ้าไม่ได้พักแถวนี้ก็สามารถโดยสารรถไฟฟ้าใต้ดิน มาที่สถานี Bugis ได้อย่างสะดวก สบายค่ะ ส่วนเราแอบเห็นคนเดินข้ามถนนกันขวักไขว่ ก็รีบเดินตามเขาไปค่ะ เห็นป้าย Bugis Street ชัดเจน หาไม่ยาก…
จาก Bugis Street ขอตรงดิ่งเข้าไปแว่ะขอพรกับเจ้าแม่กวนอิมซึ่งเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาอย่างมาก ของชาวสิงคโปร์ และมีความเชื่อว่า เมื่อขอพรใดๆจากเจ้าแม่กวนอิมก็จะสมหวังทุกครั้งไป เราจึงไม่รีรอ ขอเดินผ่าน Bugis Street ทะลุผ่านร้านค้าเข้าไปจนด้านในสุด
เดินตรงไปเรื่อย ๆ ค่ะ มีร้านค้าขายของตลอดทาง และเมื่อถึงแยกก็จะเห็นตึก The Bencoolen แล้วจึงเลี้ยวซ้าย
มีร้านค้าขายของหลายแบบหลายสไตล์ จนเดาออกว่าที่นี่ต้องเป็นทางไปวัดแน่ๆ แถมนักท่องเที่ยวยังพลุกพล่าน ขนาดเราซึ่งไม่เคยมาและมาคนเดียวก็สามารถเดาออกด้วยการเดินตามเขาไปเรื่อยๆ ค่ะ
ใช้เวลาเดินไม่นานนัก ก็มาถึงวัดเจ้าแม่กวนอิม ชื่อวัด Kwan Im Thong Cho เป็นวัดที่มีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักกันดีของชาวพุทธในสิงคโปร์ วัดนี้ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2437 ปัจจุบันมีอายุถึง 119 ปี โดยมีการบูรณะซ่อมแซมตลอดเรื่อยมา ถือเป็นวัดจีนที่มีสถาปัตยกรรมอย่างสมบูรณ์แบบ วัดนี้ยังเป็นศูนย์กลางในการจัดงานพิธีกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาของชาวสิงคโปร์
เนื่องจากเป็นวัด ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวท้องถิ่นและชาวต่างชาติแว่ะเวียนเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย โดยเฉพาะช่วงวันปีใหม่ของชาวจีน (Chinese New Year) บริเวณแห่งนี้จะเนืองแน่นขนัดไปด้วยชาวพุทธเชื้อสายจีนค่ะ
แต่เราสังเกตเห็นว่า คนท้องถิ่นจะหันหลังให้วัดและทำความเคารพด้วยการไหว้ออกไปด้านนอกของวัด จากนั้นจึงหันหน้าเข้าวัด เพื่อไหว้สักการะเจ้าแม่กวนอิม สอบถามคนพื้นเมืองได้ความว่า คนที่นี่เชื่อว่ามีเทพเจ้าบนฟ้า ที่ต้องทำความเคารพก่อนทุกครั้งที่จะเคารพเทพเจ้า หรือ พระในวัด…
ส่วนด้านในวัด ไม่อนุญาติให้ถ่ายรูป องค์เจ้าแม่กวนอิมเป็นองค์เล็กๆ และเป็นปางพันกร คนพื้นเมืองชอบมาเสี่ยงเสียมซีกันค่ะ
ถัดจากวัดจีนไปไม่เพียงกี่ก้าว เป็นวัดฮินดู หรือวัดอินเดียค่ะ สำหรับเราชอบสถาปัตยกรรมที่วัดอินเดียมากๆ เพราะแปลกตาด้วยรูปปั้นหลากหลายสีสัน ด้านในมีชาวอินเดียมาประกอบพิธีกรรม แต่เขาไม่อนุญาติให้ถ่ายรูป ถ่ายได้เฉพาะแต่บริเวณรอบๆวัดเท่านั้น
วัดอินเดีย(ทุกที่)จะต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าวัด แต่ทั้งวัดจีนและวัดอินเดีย เข้าชมฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสองวัดค่ะ
เดินกลับออกมาจากวัด คราวนี้ก็แว่ะจับจ่ายซื้อของอย่างเริงร่าที่ Bugis Street มีสินค้าหลากหลาย โดยเฉพาะของที่ระลึก สินค้าที่นี่คล้ายๆกับที่ย่านไชน่าทาวน์ แต่ราคาสูงกว่านิดหน่อย ร้านค้าด้านบนส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าแฟชั่น เขามีบันไดเลื่อนไว้คอยบริการด้วยค่ะ
จากนั้นเราไปต่อที่ย่านไชน่าทาวน์ จากบูกิสไปไชน่าทาวน์ด้วยรถเมล์จะสะดวกและใกล้กว่า แต่ขึ้นรถเมล์ที่นี่ต้องเตรียมเงินเศษๆ ไปด้วย เพราะว่ารถเมล์ที่นี่ไม่มีกระเป๋ารถเมล์คอยทอนเงิน ต้องเอาเงินใส่กล่อง โดยคนขับรถจะบอกราคาค่าโดยสารให้ สำหรับชาวสิงคโปร์มีบัตรโดยสารที่คล้ายๆบัตรรถไฟฟ้าใต้ดิน ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทอน เพราะค่าโดยสารหักจากบัตรของเขาแบบอัตโนมัติค่ะ
เดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินอาจจะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดของนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ เพียงลงที่สถานี Chinatown ทางออก A ซึ่งพอเราเดินออกมาก็จะเจอศูนย์กลางตลาดของที่นี่ ด้วยสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้า ที่เรียกว่าแข่งกันขาย (แต่ก็ขายราคาเท่าๆ กันหมดค่ะ)
จากตรงทางออกรถไฟฟ้าใต้ดินสามารถเดินไปวัดอินเดียง่ายๆ โดยเดินตรงไปเรื่อยๆ จนสุดปลายถนน จะเห็นวัดอินเดียอยู่ทางขวามือ คือวัดศรีมาริอัมมัน (SRI MARIAMMAN TEMPLE) เป็นวัดฮินดูที่เก่าแก่ที่สุดในสิงค์โปร์ สร้างขึ้นครั้งแรกด้วยไม้ในปี 1827 เพื่ออุทิศให้กับพระศรีมาริอัมมัน หรือพระแม่อุมาเทวี ปัจจุบันตกแต่งด้วยปูนปั้นสวยงามและมีขนาดใหญ่กว่าวัดอินเดียที่ย่านบูกิส
ที่วัดศรีมาริอัมมันนี้ มีประเพณีลุยไฟที่จัดขึ้นในช่วงปลายๆ เดือนตุลาคม เป็นประจำทุกปี พิธีกรรมดังกล่าวได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เสียดายที่พวกเราเดินทางมาคนละช่วงเวลากับวันที่เขาจัดพิธี…
วัดอินเดีย ไม่เสียค่าเข้าชมค่ะ แต่หากต้องการถ่ายรูป ต้องซื้อ Camera Ticket ราคา 3 เหรียญสิงคโปร์ หรือประมาณ 75บาท จึงจะถ่ายรูปภายในวัดได้ค่ะ แต่ก็คุ้มนะคะ…
ออกมาจากวัดอินเดีย เพื่อนชาวสิงคโปร์พาเดินไปวัดจีนค่ะ วัดนี้ ชื่อวัด Thian Hog Keng เป็นวัดลัทธิเต๋า โดยเพื่อนบอกว่าให้สังเกตุที่เทพเจ้ารอบๆ วัด หากเป็นเทพเจ้า หรือนักรบ แต่ไม่ใช่รูปพระพุทธเจ้า แสดงว่าเป็นลัทธิเต๋าค่ะ
ทางวัดไม่ได้เก็บค่าเข้าชมเช่นกัน แต่นักท่องเที่ยวสามารถร่วมทำบุญตามแต่ศรัทธาได้ภายในวัดค่ะ
จากนั้นเราไปทานอาหารพื้นเมืองกันค่ะ อาหารยอดนิยมของที่นี่คือ ข้าวหน้าไก่ วันนี้เพื่อนชาวสิงคโปร์พาไปลองร้านข้าวหน้าไก่ ร้านต้นตำรับกัน ขอบอกว่า เจ้าของร้านและพนักงานที่ร้านพูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย โชคดีที่เพื่อนเราพูดภาษาจีนท้องถิ่นได้ พวกเราลองทาน ข้าวหน้าไก่ รสชาดคล้ายๆ ไก่พะโล้แต่เค็มๆค่ะ สนนราคามื้อนี้ประมาณ 20เหรียญสิงคโปร์ หรือประมาณคนละแค่ 250บาทเท่านั้นค่ะ อร่อย แต่ไม่รู้ว่าถ้ามาเองจะสั่งได้หรือเปล่า…
ของหวานที่เป็นที่นิยมของชาวสิงคโปร์ก็เป็นร้านนี้ค่ะ Snow Ice คล้ายๆ น้ำแข็งไสบ้านเรา แต่ว่าน้ำแข็งเขาละเอียดนิ่ม อร่อยมาก เมนูยอดนิยมของคนพื้นเมืองคือ รสมะม่วง กับ รสทุเรียนค่ะ ส่วนเราลอง ทานรสลอดช่องน้ำกระทิ สนนราคาถ้วยละ 5 เหรียญสิงคโปร์ หรือประมาณ 125 บาท
เดินกลับมาที่ตลาดในไชน่าทาวน์ ที่พวกเราสามารถเลือกซื้อของฝากกันอย่างจุใจและ ราคาสบายกระเป๋า พวกเราชอบไชน่าทาวน์มากๆ ถึงขนาดกลับมาเดินอีกรอบในเวลาเย็นๆ
ย่านไชน่าทาวน์ถือว่าเป็นตลาดนัดกลางคืนที่ได้รับความนิยมมากจากนักท่องเที่ยว โดยจะเริ่มเปิดขายกันตั้งแต่ 10โมงเช้าไปจนถึงเกือบ สี่ทุ่ม หรือ ประมาณห้าทุ่ม
อาหารของทานว่างที่นี่ ก็คงหนีไม่พ้นหมูแผ่น หมูอบ มีหลายร้านให้เลือกซื้อทาน หรือซื้อกลับไปเป็นของฝาก แต่ที่ขาดไม่ได้ก็คือผลไม้ยอดนิยมของชาวสิงคโปร์ ก็คือ “ทุเรียน” โดยเขาบอกว่า ทุเรียนจากมาเลเซีย จะอร่อยและเป็นที่นิยมของที่นี่ เพราะว่าเนื้อจะนิ่ม และมีกลิ่นค่อนข้างแรง ส่วนทุเรียนไทยค่อนข้างแข็ง และไม่ค่อยมีกลิ่น เขาบอกว่า ไม่ค่อยชอบกันค่ะ…
ไชน่าทาวน์ยังมีร้านอาหารไว้รองรับนักท่องเที่ยว ให้นั่งทานพร้อมกับจิบเบียร์เย็นๆ ได้อีกด้วย… เรียกว่ามาที่นี่ที่เดียว คุ้มจริงๆค่ะ
ช้อปปิ้งที่สิงคโปร์ถือเป็นงานหลักของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะ นักท่องเที่ยวผู้หญิง!
หากมีเวลา ก็สามารถไปช้อปในห้างดังๆ แถวๆ ออร์ชาด หรือ Vivo city ได้อีกค่ะ สินค้าที่เป็นที่นิยมและราคาประหยัด คุณภาพดีของสิงค์โปร์สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย คงหนีไม่พ้น Chales & Kieth ช้อปของเขามีทุกห้างในสิงคโปร์ นอกจากนั้นก็เป็นสินค้าปลอดภาษี (Duty Free) เครื่องสำอางค์ ดังๆ ก็ราคาถูกกว่าบ้านเรา 20-30% ค่ะ
แต่ถ้ายังเหลือเงินดอลล่าร์สิงคโปร์ไปจนถึงวันกลับ ก็ไม่ต้องรีบแลกคืนก็ได้ค่ะ เพราะว่าที่สนามบินยังมีร้านค้าให้ได้เลือกช้อปจนถึงนาทีสุดท้ายก่อนจะบินกลับบ้าน
เรียกว่า ทริปนี้ไม่ได้ช้อปถึงกับหมดตัว แต่ก็คงหมดวงเงินในบัตรเครดิตแน่ๆ ค่ะ
อ่านทริปโดยรวมที่สิงค์โปร์ และที่อื่นๆ ของพวกเราได้ที่ https://www.somethingjam.com/singapore_th