(Singapore – English version-soon!) เขาว่าสวรรค์มีจริง ก็ที่สิงค์โปร์นี่แหล่ะ เพราะทุกอย่างถูกสรรสร้างให้หรูและอลังการที่สุดในเอเซีย ไม่ว่าจะเป็นเกาะเซ็นโตซ่า (Sentosa) หรือ บริเวณรอบอ่าวมาริน่า (Marina Bay) โดยเฉพาะรีสอร์ทหรู Marina Bay Sands เรียกว่าเป็นสวรรค์ที่มนุษย์สร้างให้มนุษย์จริงๆ ค่ะ
พวกเราเลยจัดทริปกันแบบเล่นๆ ที่สิงค์โปร์ โดยอันดับแรกพวกเราขอไปทำความรู้จักกับเจ้าตัวครึ่งสิงห์โต ครึ่งปลา หรือที่ชาวสิงคโปร์เขาเรียกกันว่า เมอร์ไลอ้อน (Merlion) เพราะหากได้ถ่ายรูปกับเจ้าตัวเมอร์ไลอ้อน ก็เท่ากับเป็นเครื่องยืนยันว่าได้มาถึงสิงคโปร์แล้วค่ะ และเท่าที่พวกเราทราบที่สิงคโปร์มีเจ้าเมอร์ไลอ้อน หลักๆ อยู่ 3 ตัวคือ เมอร์ไลอ้อนที่เกาะเซนโตซ่า ที่อ่าวมาริน่า และที่ถนนออร์ชาด แต่ครั้งนี้พวกเราจะไปเห็นแค่สองที่ค่ะ คือที่เกาะเซนโตซ่า และที่อ่าวมาริน่า
เริ่มกันที่เกาะเซนโตซ่า ที่นี่เป็นเกาะที่เรียกว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นกับดักสำหรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ เพราะไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรความบันเทิงระดับโลก Universal Studios และ คาสิโนที่เต็มไปด้วยเกมการพนันทุกรูปแบบไม่แพ้ที่มาริน่า เบย์ แซนส์ และ แหล่งช้อปปิ้ง นอกจากนี้ Resorts World Sentosa, HardRock Hotel และโรงแรมหรูบนเกาะอีกมากมาย
รู้สึกอยากติดเกาะขึ้นมาทันที ก็เพราะเกาะเซนโตซ่านี่แหล่ะค่ะ นักท่องเที่ยวสามารถหารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ http://www.rwsentosa.com/ บางอย่างหากสนใจและซื้อเป็นแพคเกจจะถูกกว่าและช่วยประหยัดเงินได้ค่ะ
การไปเกาะเซนโตซ่า สามารถไปได้ด้วย 1.กระเช้าไฟฟ้า Cable car 2.รถไฟฟ้า Monorail 3.รถเมล์ 4.เดิน Boardwalk วันนี้พวกเราจะทดลองไปด้วยกระเช้าไฟฟ้าค่ะ (แต่เวลาไป Universal Studios ค่อยไปโดย รถไฟฟ้า Monorail)
ค่าโดยสารกระเช้าไฟฟ้า ไปกลับราคาคนละ 26เหรียญสิงคโปร์หรือประมาณคนละ 650บาท เป็นการนั่งกระเช้าระยะสั้นๆ ไม่ถึง 15นาทีจาก Vivo City ก็ถึงเซนโตซา
เป็นสถานีเดียวที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินไป เมอร์ไลอ้อนปาร์ค (Merlion Park) ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกับเมอร์ไลอ้อนที่เขาว่าเป็นเมอร์ไลอ้อนตัวพ่อ เพราะว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ โดยมีความสูงถึง 37 เมตร นอกจากนั้นนักท่องเที่ยวยังสามารถขึ้นไปชมวิวบนหัวและในปากเจ้าเมอร์ไลอ้อนได้ด้วยค่ะ
แต่ถ้าหากไม่ได้ซื้อแพคเกจใดๆ ก็จะต้องจ่ายค่าเข้าและขึ้นตัวเมอร์ไลอ้อนอีกท่านละ 8เหรียญสิงคโปร์ หรือประมาณคนละ 200บาท ทางเข้าเพื่อขึ้นไปเมอร์ไลอ้อนอยู่ข้างด้านหน้าของตัวเมอร์ไลอ้อน มีนักท่องเที่ยวรวมทั้งพวกเราหลงไปเข้าทางด้านหลัง ที่เป็นช้อปขายของที่ระลึก และจริงๆ เป็นทางออกค่ะ
ภายในตัวเมอร์ไลอ้อน วันนี้ที่พวกเราไปมีนักท่องเที่ยวไม่กี่ท่านที่เข้าไปในตัวเมอร์ไลอ้อนพร้อมพวกเรา ทำให้ไม่รู้สึกอัดอัด ก่อนที่จะขึ้นไปชมวิวข้างบน เขาจะเปิดให้ชมตำนานของเกาะสิงคโปร์ซึ่งเป็นที่มาของเจ้าตัวเมอร์ไลอ้อนด้วยค่ะ กล่าวโดยสรุปว่า ในการค้นพบเกาะแห่งนี้ครั้งแรก ผู้คนพบเมื่อขึ้นมาบนเกาะก็พบสิงห์โตท่าทางดุร้าย แต่ไม่ทำร้ายใคร ผู้ค้นพบจึงต้องชื่อเกาะแห่งนี้ว่า สิงหะปุระ (Singapura) หรือ ดินแดนแห่งสิงห์โต และมีรูปเมอร์ไลอ้อน เป็นสัญลักษณ์ของเกาะตั้งแต่นั้นมา…
จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่พาขึ้นลิฟท์ไปชมวิวด้านบนค่ะ นักท่องเที่ยวสามารถเลือกชมวิวบนหัวเจ้าเมอร์ไลอ้อน หรือผ่านทางปาก ก็เก๋ดีค่ะ นอกจากนั้นเขามีเหรียญนำโชคแจกให้นักท่องเที่ยวได้หยอดเพื่อเสี่ยงโชคเล่นๆ ส่วนรางวัลขอไม่บอก เดี๋ยวไม่ตื่นเต้น!!!
ด้านล่างบริเวณด้านหน้าตัวเมอร์ไลอ้อน มีนักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกับเจ้าเมอร์ไลอ้อนกัน ด้านหลังเป็น ทางเดินที่มีชื่อว่า Merlion Walk ตรงกลางทางเดินเป็นสระน้ำ (แต่ตอนที่เราไปเขากำลังซ่อมอยู่ ไม่มีน้ำ) สีสันแปลกตาเพราะเขาปูด้วยกระเบื้องหลากสี ดูสวยงามสดใสดีค่ะ
บริเวณรอบๆ สวนแห่งนี้ ยังมีพิพิธภัณฑ์และร้านอาหาร ร้านค้าขายของที่ระลึก ตอนแรกพวกเราคิดแค่ว่ามาเดินเล่นเอาบรรยากาศอย่างเดียวค่ะ แต่ก่อนจะกลับแอบลองขึ้น Sky Tower เพื่อชมวิวแบบ 360องศา แต่ก็พอใช้ได้ค่ะ ชมวิวได้ไม่ต่างจากหัวเมอร์ไลอ้อน แค่สูงกว่า แต่ราคาค่าขึ้น Sky Tower คนละ 15เหรียญสิงคโปร์ หรือประมาณคนละ 375บาท แถมตอนก่อนขึ้นเขาถ่ายรูป พอลงมาจาก Sky Tower เห็นรูปตัวเองวางขายอยู่ก็อดใจไม่ได้ ซื้อรูปมาอีก 20เหรียญ หรือประมาณ 500 บาทค่ะ…ถ้าให้แนะนำ เลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่าง ขึ้นไปบนตัวเมอร์ไลอ้อน กับขึ้น Sky Tower ก็พอค่ะ
จริงๆ บนเกาะเซนโตซ่า ยังมีหาดที่เขาสร้างไว้ให้นักท่องเที่ยวหรือชาวสิงคโปร์ไว้มาพักผ่อนหย่อนใจ คือหาดซิโลโซ (Siloso Beach) ต้องนั่งรถไฟฟ้า Monorail ไปอีก 1สถานี คือสถานี “Beach Station” หรือจะเดินไปก็ได้ค่ะ พวกเราไม่ได้ไป เพราะว่ามองเห็นหาดจาก Sky Tower ดูช่างเงียบเหงา
พวกเรานั่งกระเช้ากลับมาที่ Vivo City แล้วขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) ไปที่ สถานี BayFront (****รูปภาพใน MRT) เพื่อไป Sky Park ที่ตั้งอยู่บนชั้นที่ 57 ของ”มาริน่า เบย์ แซนต์” (Marina Bay Sands) รีสอร์ทหรูที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ ก็เพราะว่าพวกเราไม่ได้พักอยู่ที่รีสอร์ทแห่งนี้ ดังนั้นพวกเราเลยทำได้แค่ขึ้นไปชมวิวบน Sky Park
ซึ่งเป็นสวนลอยฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีพื้นที่กว้างขวางกว่า 12,400 ตร.ม. และจัดเป็นสวนลอยฟ้าที่อยู่สูงถึง 200 เมตรจากพื้นดิน อย่างพวกเราได้ขึ้นไปชมแต่วิวจริงๆค่ะ มองเห็นสระน้ำของเขาอย่างเสียดาย เพราะอยากมีโอกาสเล่นน้ำในสระน้ำของเขาสักครััง
ก็สระน้ำที่นี่ยาวถึง 150เมตร มองดูเหมือนว่าว่ายน้ำอยู่บนก้อนเมฆ เพราะสระน้ำอยู่บนยอดขอบตึกมากๆ แต่นั่นแหล่ะค่ะ เขามีไว้ให้แขกที่มาพักกับโรงแรมเขาเท่านั้น
ค่าขึ้นชม SkyPark ท่านละ 20เหรียญสิงคโปร์หรือประมาณคนละ 500บาท จะว่าคุ้มก็คุ้มค่ะ เพราะเป็นเพียงโอกาสเดียวที่จะได้ขึ้นมาบนโรงแรมหรูแห่งนี้
แต่ถ้าชอบชมดอกไม้และพืชพันธุ์แนะนำที่ Garden By the Bay ที่ค่าเข้าชมท่านละ 28เหรียญสิงคโปร์ แพงกว่านิดหน่อยแต่ดีกว่าค่ะ เพราะเพื่อนบอกว่าสวย ร่มรื่น ได้เห็นอะไรเยอะกว่า แต่ครั้งนี้เราเลือก Skypark ขอชมวิวรอบๆ อ่าวมาริน่าก่อน จากจุดนี้เรามองเห็นเมอร์ไลอ้อนพ่นน้ำอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วย และก็ถึงเวลาที่จะข้ามฝั่งไปหาเจ้าเมอร์ไลอ้อนตัวนี้กันค่ะ
โดยพวกเราขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินไปอีกหนึ่งสถานี คือสถานี Marina Bay ที่นี่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวและชาวสิงคโปร์เป็นอย่างมาก เพราะมีร้านอาหารหลากหลายรอบๆอ่าวมาริน่าให้ลิ้มลอง แถมได้ดื่มด่ำบรรยากาศอ่าวมาริน่าในยามค่ำคืนที่สวยงามไม่แพ้อ่าววิคตอเรียที่ฮ่องกงเลยค่ะ
สนนราคาอาหารที่นี่แพงเอาการ แต่ก็ไม่ได้แพงจนหมดเนื้อหมดตัว อย่างสิงคโปร์สลิง (Singapore Sling) เครื่องดื่มที่ชาวสิงคโปร์เขาภูมิใจเสนอ ราคาแก้วละประมาณ 16เหรียญสิงค์โปร์ หรือประมาณแก้วละ 400 บาทค่ะ หวานซ่อนเปรี้ยวแอบซ่านิดๆ ลองแล้วไม่ผิดหวังค่ะ…
จากนั้นก็เดินย่อยไปถ่ายรูปกับเมอร์ไลอ้อนกัน เมอร์ไลอ้อนที่อ่าวมาริน่าเป็นเมอร์ไลอ้อนพ่นน้ำและหันหน้าออกทางอ่าวมาริน่า เราได้ชมทัศนียภาพรอบๆ อ่าว เต็มไปด้วยตึกสูงสวยหรู โดยเฉพาะที่ด้านตรงข้าม มาริน่า เบย์ แซนด์ ที่พวกเราเพิ่งขึ้นไปชม Sky Park มา เขามีการแสดงแสง สี เสียงให้ชมฟรีตอนประมาณ3ทุ่ม (21.00น.) เรียกความสนใจจากนักท่องเที่ยวรอบๆ อ่าวทางฝั่งเมอร์ไลอ้อนได้เป็นอย่างมากค่ะ
นอกจากที่ Marina Bay แล้ว ยังมี ท่าเรือคลาร์ก (Clarke Quay) ที่เขาว่าเป็นมรดกวัฒนธรรมในตอนกลางวัน และเป็นสถานบันเทิงในตอนกลางคืน แถมยังมีคลับดังๆ ในย่านนั้น เช่น Arena, Zirca และ Attica, หรือ หยุดพักผ่อนหย่อนใจที่ข้างๆ แม่น้ำ โดยจะมีดนตรีสดบรรเลงให้ฟัง หรือสำหรับนักดื่มเบียร์ ต้องไปลองที่ Brewerkz, เพราะเป็นแหล่งผลิตเบียร์ขนาดเล็ก แต่เป็นเบียร์คุณภาพที่นักดื่มไม่ควรพลาด ไว้คราวหน้า ถ้าได้มีโอกาสมาที่สิงคโปร์อีกจะรีวิวไป Clarke Quay แน่นอนคะ
จบทริปแบบง่ายๆ แต่อลังการของพวกเราที่สิงคโปร์ อ่านทริปทั้งหมดของสิงคโปร์ฉบับย่อๆ ได้ที่ https://www.somethingjam.com/singapore_th