Click here for Vang Vieng in English Version
ต่อจากทริปวันแรก สบายดี “เวียงจันทร์” ตอนนี้พวกเรากำลังเดินทางจากเวียงจันทร์ไปต่อที่วังเวียง ที่เลือกไปวังเวียง ก็เพราะว่า วังเวียง เป็นเมืองท่องเที่ยวในแขวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว ห่างจาก ตัวเมืองเวียงจันทน์ประมาณ 160 กิโลเมตร สภาพทางภูมิศาสตร์เป็นที่ราบระหว่างภูเขาหินปูน ป่าไม้สมบูรณ์ และได้ฉายาว่า เมืองกุ้ยหลินแห่งเมืองลาว (แต่เราก็ยังไม่เคยไปกุ้ยหลินซะด้วยสิ)…
พวกเราเดินทางโดยรถตู้ที่วิ่งประจำทางรวมกับนักท่องเที่ยวอื่นๆ ค่าโดยสารคนละ 310 บาท ซึ่งรถโดยสารแบบนี้หาไม่อยากในเมืองเวียงจันทร์ และเป็นธรรมดาของการนั่งรถร่วม นัดบ่ายโมงตรง แต่มารับประมาณบ่ายโมงยี่สิบ ทั้งที่เราออกมารอประมาณเที่ยงครึ่ง แถมพวกเราก็นึกว่าไปรับคนอื่นก่อนถึงได้ช้า ที่ไหนได้ มารับเราก่อนเลย แล้วก็ค่อยๆ รับคนอื่นทีละคนสองคน จะบอกว่าจะไม่เลวร้ายมากถ้าเขาเริ่มตรงเวลา!!!
สรุปได้เวลาออกรถจริงๆ ก็เกือบบ่ายสองโมง พร้อมกับประชากรฝรั่งเต็มคันรถ มีแค่เรากับคนขับเท่านั้นที่หน้าตาใกล้เคียงกัน…
ถนนที่เดินทางไปวังเวียงเป็นทางดีพอสมควร ขับออกมาจากตัวเมืองเวียงจันทร์แป่บเดียว ผ่านปั้มน้ำมัน ปตท. ด้วย แต่เขาไม่ได้จอด (เสียดาย มีกาแฟอเมซอนขายด้วย) แต่ขับมาได้ชั่วโมงครึ่ง คนขับรถก็จอดแว่ะให้เข้าห้องน้ำ ขอบอกว่า ค่าเข้าห้องน้ำ คนละ 2,000 หรือ 8 บาท ส่วนน้ำเปล่า ขวดละ 16บาท เตรียมเศษเงินไปด้วยค่ะ จากนั้นไปต่อ นั่งจนเหนื่อยอ่อน ใช้เวลารวมทั้งหมดทั้งสิ้น 3ชั่วโมงครึ่ง ก็มาถึงวังเวียง นี่ถ้าตุนขนมขบเคี้ยวมาจากบ้านเราก็ดีคะ ส่วนตัวคิดถึงบ๊วยเค็มบ๊วยหวานมาก เพราะทั้งหิวทั้งเมารถปนไปหมด ข้างทางก็ไม่มีของขาย แถมส่วนใหญ่ร้านค้าชอบเอาเลย์ของไทยมาขาย แต่พอมาถึงวังเวียงจะเห็นว่าภูมิประเทศของเมืองนี้แตกต่างกับเวียงจันทร์อย่างสิ้นเชิง เพราะล้อมรอบไปด้วยภูเขา มองไปมองมาคล้ายๆแม่ฮ่องสอนคะ รถตู้ประจำทางก็มาเขาจอดตรงบ้านใครไม่แน่ใจหรือเป็นเกสเฮ้าส์เพราะมีคนถือโบร์ชัวร์และได้ยินว่ามีห้องว่างให้เช่า แต่เราจองมาแล้ว จึงแต่ขอคนขับรถตู้มาส่งที่รีสอร์ท เขาก็ใจดีค่ะไม่คิดเงิน แต่เราก็ให้ไป 60 บาท เพราะว่าไกลเหมือนกันกับตรงที่เขาจอด (จริงๆ ไม่ไกลมาก แต่ว่า วันแรก งงๆ ว่าต้องเดินไปทางไหน)
โรงแรมที่เราจองคือ Riverside Boutique Resort โรงแรมนี้เป็นโรงแรมใหม่ เพิ่งเปิดให้บริการได้ไม่กี่เดือน ห้องใหญ่กว้างขวางมาก เราได้ห้องติดแม่น้ำซองเลย ระเบียงห้องมองเห็นภูเขาฝั่งตรงกันข้ามอย่างชัดเจนและสวยงาม อะไรๆก็ดีแต่อ่างอาบน้ำอยู่สูงจากพื้นโลกมาก จริงๆเราไม่ได้ชอบอาบน้ำในอ่าง แต่ห้องพักที่นี่ไม่มีโซนฝักบัวแยกให้อาบน้ำ ทำให้เวลาอาบน้ำต้องปีนขึ้นปีนลงอ่างอาบน้ำ เราก็บอกผู้จัดการรีสอร์ทไป เขาก็ยอมรับว่ามันสูงจริงๆ (อ้าว รู้ตั้งแต่แรก ทำไม ไม่ปรับปรุงอ่ะ…?)
ฝนยังตกพรำๆตลอดตั้งแต่เรามาถึง ว่าด้วยช่วงนี้เป็นช่วงหน้าฝน และอย่างที่บอกที่นี่ภูเขากับต้นไม้เยอะเลยเป็นปัจจัยให้ฝนตก (ในขณะที่เวียงจันทร์ฝนไม่ตกเลยแถมร้อนมากอีกต่างหาก) แต่ขอแอบภาวนาอย่าให้ฝนตกเลยพรุ่งนี้ เพราะอุตส่าห์ดั้นด้น เดินทางมาสามชั่วโมงแล้วไม่ได้เที่ยวอะไรเลย คงไม่ดีแน่…
พวกเรากางร่มออกไปหาทัวร์สำหรับพรุ่งนี้ และไม่ใกล้ไม่ไกล พอเดินออกไปได้ไม่กี่เมตร ก็มีร้านทัวร์อยู่ด้านหน้าถนน เราไม่รอช้า แว่ะถามราคาก่อนเลยเพราะคิดว่าทุกร้านคงเหมือนกัน แถมฝนก็ยังตกเลยต้องรีบตัดสินใจ (แต่วันต่อมาเราก็เดินเช็คดูแล้วค่ะ ว่าเหมือนๆกัน บางร้านใช้ป้ายทัวร์เดียวกันเลย แต่ถ้าร้านใหญ่หน่อยเขาก็มีรูป มีรายละเอียดอธิบายเพิ่ม)
ค่าทัวร์ที่เราเลือก เป็นแบบเต็มวัน คือพายคายัค ล่องห่วงยาง และไปเที่ยวถ้ำสองถ้ำ ตอนซื้อทัวร์ ทีมงานจะมารับตอน9โมงเช้าที่โรงแรมเลย ทัวร์จะเสร็จประมาณ 4โมงเย็น ค่าทัวร์(แค่)คนละ 400 บาทถ้วน… โปรแกรมทัวร์ยังมีอีกหลายโปรแกรมให้เลือก มีตั้งแต่ครึ่งวัน เต็มวัน หรือมากกว่าหนึ่งวันให้เลือกตามความชอบ ส่วนราคาก็ไม่แพง อย่างที่เห็นๆ เต็มวันก็แค่คนละ 400 บาทเท่านั้น สามารถเลือกและจองและจ่ายเงินได้ที่หน้าร้านนั้นๆ เลยค่ะ
ก่อนกลับห้องพัก แว่ะกางร่มเดินชม ตลาดกลางคืน ที่วังเวียงก่อน
ตอนแรกคาดหวังว่าจะเป็นคล้ายๆ ตลาดมืดที่หลวงพระบาง หรือตลาดท่าแพที่เชียงใหม่ หรือตลาดอะไรก็ได้ แบบตลาดๆ แต่จริงๆเป็นร้านค้าตึกแถวที่เปิดขายกันช่วง 4โมงเย็น ถึงประมาณ 3ทุ่มโดยประมาณ แต่อย่างที่บอกว่าวันนี้ฝนตกเลยมีไม่กี่ร้านที่เปิดขาย และแต่ละร้านก็ขายของเหมือนๆกัน สินค้าหลักๆในร้าน เป็นเสื้อยืด กางเกงขาสั้น แว่นกันแดด ชุดว่ายน้ำ รองเท้าแตะ
แต่ที่ขาดไม่ได้เลยก็คงเป็นรองเท้าแตะสำหรับทัวร์วันพรุ่งนี้นี่แหล่ะ เราเลยต้องสอยมาคู่นึง คู่เล็กคู่ใหญ่ราคาเท่ากันคะ 20000กีบ หรือ 80บาท ที่น่าสนใจคือซองพลาสติกสำหรับกันน้ำ กันเปียกโดยเฉพาะสิ่งของจำพวกกล้อง มือถือ ไอโฟน ฯลฯ จริงๆอันนี้สำคัญมาก แต่มัวเสียดายตังค์เลยไม่ได้ซื้อ ทำให้พลาดถ่ายรูปหลายๆภาพระหว่างทิปเพราะต้องเก็บกล้องอย่างมิดชิดตอนที่พายคายัค
ว่าไปแล้ว ถนนที่ตลาดกลางคืนก็คล้ายที่ถนนข้าวสารบ้านเราตอนกลางวัน เหมือนกันนะ ที่มีแต่ร้านค้าเป็นตึกแถว มีเกสเฮ้าส์ มีร้านอาหาร และก็มีฝรั่งเต็มไปหมด โดยฝรั่งกลุ่มนี้ที่เราเรียกว่า ฝรั่งแบกเป้ หรือ Backpackers (แต่ตลาดข้าวสารเรามีร้านเยอะกว่ามาก)
คืนแรกคืนนี้ แอบกร่อย จึงแค่หาอาหารมื้อเย็นทานแล้วก็กลับที่พัก แต่เงินแบงค์ยี่สิบจำนวนมหาศาลของเรานี่สิยังไม่ได้ใช้ช็อปปิ้งอีกแล้วคืนนี้…
เตรียมพร้อมกับทัวร์ในตอนเช้าวันต่อมา
วันนี้แหล่ะที่เราซื้อทัวร์ไปคนละ 400 บาท แต่เนื่องด้วยรู้ว่าจะต้องเปียก จะต้องเดินทาง จะต้องเข้าถ้ำ เราเลยเตรียมตัวแบบบ้าหอบฟาง คือเตียมชุดไปเปลี่ยน เตรียมผ้าขนหนูไปซับ เตรียมน้ำดื่ม หอบกล้องไปสองอัน พร้อมกับเงินเพียบ กะว่างานนี้เราจะต้องไม่พลาด หาได้ไม่ การเตรียมตัวเยอะ ทำให้เรามีภาระเยอะไปด้วย ขอบอกว่า ให้เตรียมแต่ของที่จำเป็นไป กล้องใหญ่ๆ ไม่ได้ต้องเอาไปเลย เสื้อผ้าก็ไม่ต้องคิดจะเปลี่ยน อย่างดีก็มีแค่ผ้าเช็ดหน้าสักผืนก็พอได้ ส่วนน้ำดื่มเขามีแจกตลอดทิป…จะว่าไป ว่าไปแต่ตัวกับเงินก็พอแล้ว
ขอแว่ะลงมาทานอาหารเช้าฟรีของโรงแรมก่อน (ก็เขานัดตั้งเก้าโมงนี่นา) วันนี้เขาจัดเป็นบุฟเฟ่ท์ค่ะ และก็นี่แหล่ะข้อเสียของโรงแรมที่มีจัดตัวเองเป็นรีสอร์ท คือมีที่พักไม่กี่ห้องพัก ทำให้มีคนพักไม่กี่คน อาหารเขาก็เตรียมน้อยไปด้วย จริงๆ เราก็ทานไม่หมดหรอกเท่าที่เขามีนะ แต่มันไม่หลากหลาย (ไม่คุ้มค่าที่พักที่เสียไป ถ้าเทียบกับโรงแรมอื่น) ยิ่งไปกว่านั้นพนักงานบอกว่าอาหารเช้าเริ่ม 6.30ครึ่ง แต่เรามาถึง 7.30 แล้ว ก็ยังเตรียมไม่เสร็จ ต้องรออีกประมาณ สิบกว่านาที สุดท้ายที่จะมีให้ชมก็คือ กาแฟที่นี่เข้มข้น หอม และก็รสชาดดีมากๆ และยิ่งน้ำแอปเปิ้ล ขอบอกว่าอร่อยอย่าบอกใคร ไม่รู้ว่าเขาทำเอง หรือว่ายี่ห้ออะไร ไม่เคยดื่มน้ำแอ้ปเปิ้ลที่ไหนอร่อยแบบนี้เลย!
8.30น. แหล่ะ แต่เรายังมีเวลาเหลือเฟือในการเดินชมบริเรณรอบๆโดยเฉพาะ ข้างหน้าโรงแรมมีสะพานข้ามแม่น้ำซอง แต่ต้องเสียค่าบริการด้วย ถ้าเดินข้ามไปกลับ คิดค่าบริการคนละ 20บาท ส่วนรถจักรยานคันละ 30บาท ถ้ามอเตอร์ไซต์กับรถแพงหน่อย คิดคันละ 80 บาท
มองลงดูกระแสน้ำที่ไหลผ่าน ไม่รู้จะบรรยายความแรงของกระแสน้ำที่แม่น้ำซองอย่างไร ในใจคิดว่า ตกลงไป คงตายอย่างเดียว เพราะว่ากระแสน้ำไหลแรง และเชี่ยวมาก
เดินข้ามไปอีกฝั่ง ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านพักคนในชุมชนแถวนั้น มีโฮมสเตย์บ้าง แอบเห็นป้ายทางไปถ้ำ แต่ถามคนแถวนั้น เขาว่าไกลมาก เดินไปคงไม่ไหว
จากบนสะพานมองเห็นรีสอร์ทที่พักอย่างชัดเจน บอกแล้วว่าวิวแม่น้ำจริงๆ…
จะว่าไปสะพานนี้ก็มีมีผู้คนท้องถิ่นใช้กันพลุกพล่านมาก คิดว่าเจ้าของสะพานคงรายได้ดีจากการเก็บค่าผ่านทางแน่ๆ
พวกเราขอเดินข้ามกลับมาฝั่งโรงแรม เพื่อรอรถที่มารับไปทัวร์ ซึ่งก็มารอรับพอดี มารับเราเป็นเจ้าแรกอีกแล้ว แล้วหลังจากนั้นก็ทยอยไปรับคนอื่นๆ โดยในรถมีเราเท่านั้นที่เป็นคนไทย! แต่คนลาวที่นั่นชอบทักตลอดว่า “เจ้าเป็นคนลาวบ่?” เราก็ไม่แน่ใจนะ ว่าเราภูมิใจเปล่า เวลาเขาทักว่าเราเหมือนคนเรา กลับมาที่บนรถทัวร์ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่วัยละอ่อนๆ และที่แปลกคือ หลายๆ คนบนรถ ยังไม่แน่ใจว่าวันนี้จะได้ทำอะไรบ้าง!
รถกระบะที่แบกทั้งคน ทั้งเรือคายัค ขับผ่านถนนไปเรื่อย ถนนก็สภาพเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลเขา คือ ถนนไม่ดี จะทำให้อุบัติเหตุน้อยลง ผู้โดยสารบนรถเลยออกแนวร็อคแอนด์โรล คือนั่งหัวสั่นหัวคลอนกันไป ก็มันช่างขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อตลอดทางจริงๆ
ไกด์บนรถไม่ได้พูดอะไรมาก แม้ว่าพวกเราอยากให้เขาพูดบ้าง เพราะว่าบางที หยุดรับนักท่องเที่ยว แต่ว่าเขาไม่พูดอะไรกันสักคำ ทำให้พวกเราที่อยู่บนรถ นั่งมองหน้ากันงงๆ ว่าเขาจะพาเรามาฆ่าทิ้งหรือเปล่า แต่สุดท้ายเราได้ล่วงรู้มาว่า เราตั้องขึ้นรถไปไกลถึง 17 กิโลเมตร เพื่อมาถึงที่หมายที่เราจะลงพายเรือคายัคกัน โดยมีพนักงานไกด์ท้องถิ่น เป็นชายล้วนที่มีกันอยู่ประมาณ 6 คน และต้องดูแล(ชีวิต)พวกเรา นักท่องเที่ยวที่มาด้วยครั้งนี้ประมาณ 12 คน ก่อนอื่นใด เจ้าหน้าที่ไกด์ก็แจกเสื้อชูชีพให้ทุกคนสวมใส่อย่างถูกต้อง ไกด์คนหนึ่งก็มาสอนวิธีพายเรือคายัค (Kayaking) นี่เราจะพายเรือคยัคในแม่น้ำซอง แม่น้ำที่เราเพิ่งคิดว่า ตกลงไปคงตายอย่างเดียวเหรอเนี่ย?!?!
นอกจากเริ่มหวาดกลัวในใจตัวเองบ้างแล้ว ไกด์ยังอุตส่าห์ให้ข้อมูลเพิ่มอีกว่า น้ำแม่น้ำซองไหลแรง บางครั้งเรืออาจจะพลิกคว่ำ ให้เกาะเรือไว้ หรืออาจจะชนหินบ้างอะไรบ้าง ให้ตั้งสติพร้อมกับตะโกนดังๆ เดี๋ยวทีมงานจะรีบเข้าไปช่วย
เป็นไงค่ะ ทราบแบบนี้แล้ว ไม่รู้ว่าจะอุ่นใจ หรือจะ ตายใจว่าต้องตายแน่ๆ ดี ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แต่ไม่มีใครปฏิเสธ เราเลยต้องสมยอมทำตามประหนึ่งว่า ไม่กลัว…
แต่แล้ว อย่างที่บอก ว่าทรัพย์ศฤงคารที่เราพกมานี่สิค่ะ! ไกด์เขาเห็นแล้วบอกให้เราฝากกระเป๋าเป้ที่ไม่มีของมีค่าไว้กับเขา ส่วนของมีค่าเขาจะแจกถุงเป้พลาสติกกันเปียกให้ใส่ของมีค่าและเก็บไว้กับตัว แถมเขาจะเช็คว่าเราใช้ถุงเป้ใส่ของถูกต้องให้ด้วยหรือเปล่าค่ะ อืม จริงๆ ก็เริ่มรู้สึกว่าเขาบริการดีเหมือนกัน (จากตอนแรกไม่พูดอะไรเลย ตลอด 17 กิโลเมตรที่ขึ้นรถมา)
ได้เวลาขึ้นเรือ ขาก็แอบสั่น แถมไม้พายก็หนักมาก แต่เอาน่า เพื่อแฟนๆๆ ของ Somethingjam.com เราต้องทำให้ได้ ไม่เป็นไร ถือว่าตายในหน้าที่! แต่ก็แอบกลัว ว่าถ้าเป็นอะไรไป ใครจะอัพเดทเว็บไซต์เนี่ย
แต่โชคดีที่เรามีฝีพายฝีมือดีพายให้ ทำให้เรารอดตายมาอย่างหวุดหวิด ครั้งนี้ใช้เวลาเพียงสิบนาทีเอง (เหมือนพายเพื่อจะข้ามฝั่งแม่น้ำ) ทีมงานซึ่งพายนำ ทั้งพายตาม และพายล้อมรอบ เพื่อคอยช่วยพวกเราก็บอกให้เราแว่ะจอดฝั่งตรงข้าม (แต่บางกลุ่มทัวร์สำหรับคนที่ไม่กล้าพายเขาก็จัดให้มีเรือยนต์พาข้ามมาให้ ซึ่งเราไม่รู้มาก่อนมามีแบบนี้ด้วย!)
ตรงที่เราจอดมีป้าย ถ้ำซ้าง หรือ ถ้ำช้าง ทีมงานแจกน้ำดื่มให้คนละสองขวด และพาเดินนำพวกเราเข้าไป ผ่านบ้านคน ผ่านทุ่งนา ผ่านป่าหญ้า
ทางเดินก็ค่อนข้างลื่น เพราะว่า ต้องเดินผ่านคันนาและช่วงนี้ก็เป็นหน้าฝนอย่างที่ทราบ ทำให้หัวคันนาเปียกและยากที่จะเดิน โดยเฉพาะรองเท้าแตะที่ซื้อมา เดินๆ ไปก็ต้องถอดแล้ว แต่หากเป็นรองเท้ารัดส้นดีๆหน่อย ก็จะสบายกว่า เดินมาถึงศาลาแห่งหนึ่ง มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นมาถึงก่อนหน้านี้บ้างแล้ว กำลังลอยห่วงยางเล่นน้ำกันอยู่ มองเผินๆ นึกว่ามาลัลล้ากันเฉยๆ แต่ปรากฎว่า ที่นี่คือ ถ้ำน้ำ หรือ คล้ายๆ ถ้ำลอดบ้านเรา
โดยเขาให้นักท่องเที่ยวนั่งและนอนหงายบนห่วงยาง (Tubing) ทุกคนจะได้ไฟฉายสวมบนหัวทุกคน แล้วก็ค่อยๆ สาวเชือกเรียงตัวกันมุดเข้าไปในถ้ำ ที่เป็นโพรงหินติดกับน้ำ ทุกคนค่อยๆ สาวเชือกไปเรื่อยๆ เข้าไปได้ประมาณ 300 เมตร ซึ่งตลอดทางก็มีไฟฉายที่หัวนี่แหล่ะ ทำให้มองเห็นความสวยงามของถ้ำ (แคบๆ) แต่ก็แอบกลัวเพราะว่า น้ำไหลแรงมาก ถ้ามือหลุดจากเชือก ไม่รู้ว่าจะลอยฟิ้วไปตรงไหน เพราะนอกจากมันจะแคบแล้วก็ยังมืดมาก แต่ถ้ำน้ำเป็นถ้ำตันค่ะ อย่างที่ที่บอกว่าเข้ามาได้ประมาณ 300 เมตรก็ต้องวนกลับ ตอนวนกลับนี่เขาให้ปล่อยมือจากเชือกเลย เพราะว่าน้ำจะพัดกลับไปทางออกเอง แต่ก็ต้องระวังหัวกันเอง เพราะว่าน้ำมันไหลแรง หัวอาจจะกระแทกหินได้ แต่พอถึงทางออก ก็ต้องเอามือสาวเชือกไปยังฝั่งค่ะ เพราะน้ำข้างนอกไหลแรงมาก
ก็สนุกแปลกไปอีกแบบหนึ่ง ขึ้นฝั่งแล้วหนาวมาก เสื้อผ้าหรือผ้าขนหนูที่ขนมาก็ฝากไว้ที่รถแล้ว ก็เลยยืนหนาวสั่น ทางทีมงานไกด์บอกว่าสักพักจะมีอาหารกลางวันมาเสิร์ฟ รอได้สักพัก เขาก็เอาข้าวกล่องมาแจก พร้อมด้วย บาบีคิวไก่สองไม้ และก็ขนมปังบาเกตยาวเท่าท่อนขา(เรา) และก็กล้วยหอม โหย 400 บาทนี่รวมอาหารกลางวันด้วยเหรอเนี่ย คุ้มกับค่าเสี่ยงตายเป็นที่สุด!
ทีมงานให้เวลาทานอาหารกลางวัน และเล่นน้ำพักใหญ่ๆ ก็เริ่มนำขบวนเดินกลับไปที่เดิม ตรงที่เราพายเรือคยัคมาจอด ซึ่งเป็นถ้ำช้าง ไกด์บอกว่าถ้ำช้างเคยเป็นสถานที่ที่ช้างมาอยู่หลบแดด หลบฝน (ลักษณะของถ้ำเหมือนเป็นโพรงกว้างเข้าไป โดยมีตัวถ้ำเป็นคล้ายๆ กับหลังคา) แต่ทว่าเมื่อมีผู้คนย้ายเข้ามาพักอาศัยที่ ก็เลยไล่ เอ้ย ย้ายช้างไปอยู่ที่อื่น และนำพระพุทธรูปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาประดิษฐานไว้ ณ ที่ถ้ำแห่งนี้ แต่เป็นที่น่าประหลาดที่ต่อมา มีหินย้อย หรือหินงอกออกมาจากตัวผนังถ้ำ และมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับตัวช้างเลยค่ะ!!!
หลังจากพาชมถ้ำช้างแล้ว ทีมงานก็รวมพลพวกเราให้แต่งกายเตรียมพร้อมลงเรืออีกครั้ง ก็คิดว่า คงจะให้พายเรือต่ออีกสักนิดสักหน่อย แต่ที่ไหน เป็นการพายเรือกลับไปยังตัวเมือง อะไรน๊า ตอนมามันเป็นทางยาวประมาณ 17 กิโลเมตร นี่เขาจะให้เราพายเรือกลับเลยเหรอเนี่ย (มิน่าล่ะเลี้ยงอาหารกลางวันพวกเราเยอะมาก!)
กลับมาผจญภัยบนเรือ ควาวนี้ ไกด์เริ่มบอกมากขึ้นว่า จะผ่านหลายๆ จุดที่มีกระแสน้ำมาบรรจบกัน กระแสน้ำตรงนั้นก็จะแรงเป็นพิเศษ (ยังมีแรงกว่าที่เห็นอีกเหรอเนี่ย?) หน้าที่ของพวกเราคือพายตรง ซึ่งการพายตรงก็คือการจ้ำพายซ้ายขวาสลับกันไวๆ และให้ฟังสัญญาณจากทีมงานให้ดี
แล้วก็จริงอย่างว่าค่ะ ตรงที่มองเห็นกระแสน้ำเป็นคลื่นบ้าคลั่ง ทีมงานจะบอกว่าให้ค่อยๆ พายผ่านกันไปทีละลำ โดยจะมีลำหนึ่งของทีมงานพายไปรอ และให้ลำที่เป็นนักท่องเที่ยวพายผ่านไปทีละลำ ก็น่ากลัวมากเพราะว่าเรือคายัคมีทรงแหลม และก็แคบ คือพอดีตัวคนพาย แล้วเรานั่งหน้า (คนพายเก่ง ต้องนั่งหลังค่ะ เป็นคนบังคับเรือ) พอพายผ่านตรงที่กระแสน้ำแรงๆ คลื่นมันแรงและสูงกว่าหัวเราซะอีก คิดอย่างเดียวเลยว่า ไม่รอดแน่เรา (คิดอย่างเดียว ไม่ได้พายเลยค่ะ เพราะว่า มัวแต่ช็อคกับคลื่นตรงหน้า หน้าที่ก็เลยไปหนักกับคนหลัง) โชคดีที่เรือเราไม่ล่มเลย แต่เราเห็นเรือลำอื่นล่ม ทีมงานเขาก็ดีมาก เขาจะรีบพายเข้าไปช่วยกลับเรือ และก็ช่วยลูกทัวร์ให้กลับมานั่งในเรือได้ คือล่มกันตลอดทางเลยค่ะ พอล่มกันเยอะๆ เข้า เราก็เริ่มอุ่นใจ เริ่มวางใจทีมงานมากขึ้น คิดว่าถ้าเรือเราล่มก็คงไม่ตายแล้ว แต่แค่แอบกลัวกล้องที่พกมาในถุงพลาสติกจะจมน้ำหายไปเท่านั้น
เชื่อหรือไม่ค่ะ ว่าใช้เวลาพายคายัคไปเกือบๆ สองชั่วโมง ก็จะเริ่มเข้าสู่เขตที่ข้างๆ แม่น้ำมีผับมีบาร์ เปิดเสียงเพลงกันกระหึ่มลำแม่น้ำซอง บ้างก็ออกมายืนเต้น และก็โบกมือเฮฮา ให้พวกเราที่กำลังพายคยัคผ่าน บางร้านก็จัดร้านแปลก มีสไลเดอร์ให้สไลด์เล่นลงแม่น้ำ แต่ทีมทัวร์ของเราเขาก็แว่ะที่ร้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง(คิดว่าน่าจะมีเจ้าของคนเดียวกับบริษัททำทัวร์) ซึ่งมีกลุ่มทัวร์ก่อนหน้านี้มาถึง จากตรงนี้ เราเริ่มเห็นว่า บางคนก็ล่องห่วงยางมาจากไหนไม่รู้ มาแว่ะจอดที่นี่ด้วย
คิดๆ อยู่ว่าพายเรือคายัคของเราน่ากลัวแล้ว นั่งห่วงยางลอยมาแบบนี้น่ากลัวกว่าอีกอ่ะ ก็นั่งห้อยก้นลงแม่น้ำที่น้ำไม่ได้ใสเลย ออกแนวขุ่นซะด้วย ไม่กลัวน้ำขุ่นๆ หรือสัตว์น้ำเลยเหรอเนี่ย?
ที่ร้านเล็กๆ ที่นี่ คิดว่าหลักๆ แล้วให้พัก ฟังเพลง ดื่มเบียร์ (และก็ดื่มกันจริงๆ จังๆ เพราะว่า มองๆ ขวดเบียร์ กับกระป๋องเบียร์เกลื่อนเต็มไปหมด) ที่นี่เขาพักนานเหมือนกัน มีแปล มีโต๊ะ มีศาลา มีของเล่นเตรียมไว้ให้ เสียแค่ค่าเครื่องดื่มอย่างเดียว แล้วอยากเล่นอะไรก็ตามสบาย
กระดานโต้คลื่น ของเล่นง่ายๆ แค่อาศัยไม้แผ่นหนึ่ง ผูกกับเชือก แล้ว แค่ยืนทรงตัวให้ได้ กระแสน้ำที่แรงจะพัดให้กระดานมันโต้เอง (บอกแล้วว่ากระแสน้ำแรงมาก) นี่ถ้าเชือกไม่ขาดก็คงน่าสนุกดีเหมือนกัน
ตอนที่พวกเราพัก ทีมทัวร์อื่นๆ ก็เริ่มทยอยออกจากที่นี่ บ้างก็พายเรือไป บ้างก็ล่องห่วงยางไป จนประมาณหนึ่งชั่วโมงทีมงานเราก็เริ่มเรียกลูกทัวร์ ซึ่งลูกทัวร์บางคนก็เปลี่ยนสภาพเป็นกรึ่มๆ กันบ้างแล้ว ยิ่งหนุ่มๆ เกาหลี แก้มนี่แดงเป็นจุดๆ เพราะเมาเบียร์ลาวแน่ๆ
กลับประจำเรือ พวกเราตอนนี้เริ่มมีประสบการณ์ในการพายเรือโชคโชน เลยทำให้ไม่ค่อยกลัว จะกลัวก็แค่ฝีพายของเรานี่สิ เมากับเขาหรือเปล่านะ
คราวนี้พายง่าย เพราะว่าไม่ค่อยมีช่วงอันตราย เรือลูกทัวร์ไม่ล่ม แต่เรือของทีมงานไกด์สิ ล่มเอาล่มเอา ไม่ใช่อะไรค่ะ เพราะสาเหตุเดียวกัน คือ เมา เริ่มเล่นตลก ทำเรือคว่ำให้ลูกทัวร์ดู…
เที่ยวนี้ใช้เวลาไม่ถึง 30 นาที ก็มาถึงที่จอดเรือที่ส่วนใหญ่เขาจะมาจอดตรงนี้กัน ตรงข้างๆ กับ Villa Nam Song Hotel แล้วทีมงานที่อยู่บนรถกระบะ ก็เอากระเป๋าเสื้อผ้าที่เราเตรียมมาคืนเราตรงนี้แหล่ะค่ะ แล้วสรุปว่าไม่ได้มีโอกาสเปลี่ยนหรือได้ใช้ของที่เตรียมมาเลย เปียกแบบนี้มาชุดนี้มาตลอดวัน
จากตรงนี้ เราต้องเดินกลับโรงแรมเอง ซึ่งก็ไม่ไกล เดินแค่ ไม่กี่นาทีก็ถึง แต่สภาพพวกเราสิค่ะไม่อยากบรรยาย…
จบทัวร์วันนี้ แบบแอบภูมิใจที่เราทำได้ แล้วไม่ตาย! ไม่อยากจะเชื่อว่าเราพายคายัคกันทั้งวันไป 20 กิโลเมตร!!! นี่ถ้าเราซื้อกล้องกันน้ำไปด้วยก็ดีสิ จะได้ถ่ายตอนพายเรือได้…เสียดายไม่มีรูปประวัติศาสตร์ จะกลับไปทำอีกทีก็คงไม่ไหวแล้ว!
พอกลับมาที่ห้อง เราค้นหาข้อมูลผ่านกูเกิ้ล เลยได้ข้อมูลว่า เฉลี่ยแล้วจะมีนักท่องเที่ยวเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิตที่แม่น้ำซองปีละ 20 กว่าคน ช่างเป็นสถิติที่ดีมาก โชคดีที่เราไม่ได้เป็น 1 ใน 20 คนนั้น แต่เราคิดว่าสาเหตุส่วนใหญ่เพราะว่าเมาเบียร์ลาวแล้วลงไปเล่นน้ำกันนั่นแหล่ะ!
กลับมาอาบน้ำอาบท่าแล้วรีบไปหาร้านนวดทันที เมื่อยมากเพราะแบกพายมาทั้งวัน!
เดินทางกลับแล้วค่ะ
เป็นเวลา สองคืน กับหนึ่งวันเต็มๆ ที่วังเวียง รถกลับไปสนามบินที่เวียงจันทร์ ค่ารถตู้เหมาที่นี่ถูกกว่า (Malany Villa) เหมาจากเวียงจันทร์มาวังเวียงมาก(จากเวียงจันทร์มาวังเวียง ราคาเหมาคือ 4000-5000 บาท) แต่ที่นี่คิด 2,800 บาท ใช้เวลาเดินทางก็ประมาณสามชั่วโมง ก็ถึงสนามบินที่เวียงจันทร์
สนามบินลาวไม่มีอะไรมาก มีร้านขายของฝากไม่กี่ร้าน ราคาก็เป็นที่แน่นอนกว่าต้องแพงกว่าข้างนอก 2-3 เท่า
จบดีกว่าค่ะ ทัวร์ลาวครั้งนี้ก็อยู่ในขั้นโอเคค่ะ อย่างเวียงจันทร์ส่วนตัวไม่มีอะไรประทับใจมาก ก็คงไม่กลับมาอีกแล้ว(ขอบอกว่าเป็นทัวร์ที่เหมาะกับทัวร์วันเดียวมากกว่า แต่ถ้าต้องมาทำงาน หรือ ได้ค่าเที่ยวฟรี ถึงจะมาอีกค่ะ) แต่วังเวียง จริงๆ แล้วชอบธรรมชาติมาก ถ้าจะสนับสนุนก็อยากให้มาเที่ยวแบบชิวๆ อย่าทำกิจกรรมโลดโผนมาก สำหรับที่นี่ ก็อยากกลับมาอีกค่ะ แต่จะรอให้วังเวียงมีสนามบินที่เราสามารถบินตรงมาจากกรุงเทพฯ ได้ก่อนมั้งค่ะ…
Somethingjam.com ขอแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นส่วนตัวว่า ถ้าหากอยากจะลิ้มรสทัวร์ลาวจริงๆ ขอสนับสนุนให้ไปเที่ยว หลวงพระบางค่ะ
แต่ใครจะรู้ ไว้เจอกันอีกที่ลาวใต้…สบายดี!