English Version is coming soon…
ทำไมต้องเวียงจันทร์?
หลังจากเมื่อสองปีก่อนไปหลวงพระบางมาแล้ว ปีนี้ลองไปเมืองหลวงของลาวกันบ้างค่ะ นั่นก็คือ นครเวียงจันทร์ หรือ เดิมชื่อ กำแพงนครเวียงจันทร์ (ตอนแรกก็แอบสงสัยว่าทำไมป้ายทะเบียนรถที่เวียงจันทร์เขียนว่า “กำแพงนคร”) นครเวียงจันทร์เป็นเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศลาวและมีเขตติดต่อเป็นชายแดนกับประเทศไทยที่จังหวัดหนองคาย โดยมีสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาวเป็นสะพานเชื่อมมิตรภาพ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี แต่กล่าวถึงทริปเราเที่ยวนี้ เราจะอยู่ที่เวียงจันทร์สองคืน และก็ไปต่ออีกสองคืนที่วังเวียง (ที่จะกล่าวถึงต่อไป)
เตรียมตัวก่อนเดินทาง
1. วีซ่า? คนไทย ไม่ต้องขอวีซ่าลาว เพียงแค่มีหนังสือเดินทาง Passport เล่มเดียวก็พอแล้ว แต่ถ้ามีเพื่อนเป็นชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ไม่ใช่ประเทศเพื่อนบ้านของประเทศลาว ให้เช็คกับสถานฑูตลาว (ซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่าเว็บไซต์อย่างเป็นทางการในเมืองไทยนั้นคืออะไร) แต่สถานฑูตลาวอยู่ตรงแถวๆ เหม่งจ๋าย ห้วยขวางค่ะ เพียงแค่กรอกข้อมูลลงในแบบฟอร์ม พาสปอร์ตตัวจริง รูปถ่าย ถ้ามีตั๋วเครื่องบินกับใบจองโรงแรมก็แนบไปด้วยค่ะ ค่าธรรมเนียมในการทำวีซ่าลาวของชาวต่างประเทศแต่ละประเทศไม่เท่ากัน อย่างเพื่อนที่เป็นอเมริกัน ทำแบบด่วน คือรับเล่มพร้อมวีซ่าในวันเดียว ค่าธรรมเนียม 1,600 บาทค่ะ วีซ่าลาวของ่ายและเป็นกันเอง ฝากใครไปทำให้ก็ได้ ไม่ต้องไปเอง แต่ถ้าพลาดไม่ได้ทำวีซ่าที่ก่อนเดินทาง ก็ยังสามารถทำวีซ่าได้ที่สนามบินเวียงจันทร์ แต่อาจจะต้องเสียเวลาต่อแถวนานหน่อย
2. เงินลาว? อย่าได้คิดว่าจะหาที่แลกซื้อเงินลาวในประเทศเราเลยค่ะ เพราะว่าหน้าแตกมาแล้ว ไปถามธนาคารสำนักงานใหญ่มาแล้ว เขาบอกว่าไม่มีขายค่ะ เพราะเงินไทยกับเงินดอลล่าร์เป็นที่นิยมที่ประเทศลาวอยู่แล้ว เราจึงแลกแบงค์ย่อยเตรียมไปเยอะๆ เพราะว่า ถ้าเป็นแบงค์ใหญ่ บางที่เขาจะไม่มีทอน หรือถ้าเขาทอนเขาก็จะทอนเป็นเงินลาวค่ะ อัตราแลกเปลี่ยนจะตกประมาณ 250 กีบ ต่อ 1 บาท ส่วนเงิน ดอลล่าร์ของอเมริกา จะประมาณ 7990 กีบ ต่อ 1ดอลล่าร์ค่ะ
ว่าด้วยการจัดกระเป๋าเดินทางไปลาวก็ตามสะดวกเลยค่ะ แต่ว่า ทริปนี้ไปวังเวียงด้วย ถ้าหากมีกล้องกันน้ำ กับรองเท้าแตะแบบรัดส้น ก็จะดีมากค่ะ
ตัดตอนว่าเดินทางมาถึงแล้วทีเวียงจันทร์ เมืองหลวงของเพื่อนบ้านเรา ใช้เวลาบินจริงๆตามที่กัปตันของสายการบินไทยบอก คือ 55 นาที อ้อ! ลืมบอกก่อนว่ามีแค่ 2สายการบินเท่านั้นที่บินตรงจากกรุงเทพฯ ไปเวียงจันทร์ คือ สายการบินไทย และสายการบินลาว (ข้อมูลอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่ตอนนี้ มีแค่สองสายการบินนี้เท่านั้น) แต่ที่เราเลือกที่จะไปกับสายการบินไทย ไม่ใช่ว่าเพราะกระแสชาตินิยมแต่อย่างใด แต่เนื่องจากสายการบินลาว มีระบบการจองออนไลน์ที่เลวร้ายมาก (สำหรับเรา) คือให้กรอกรายละเอียดจนครบ แล้วหน้าสุดท้ายบอกว่า เราได้รายละเอียดของท่านครบแล้ว ทางเราจะตรวจสอบว่ามีที่นั่งเหลือหรือไม่ อย่างไรจะแจ้งกลับภายในสองวัน คือถ้ามัวตัดสินใจรอสายการบินนี้คอนเฟิร์มอีกสองวัน แล้วเผอิญว่าไม่มีที่นั่ง อาจจะต้องขอที่ยืนก็ได้ค่ะ เพราะมัวแต่รอพี่แกซะสายการบินที่อื่นเต็มหมดแล้ว!!
แต่ไม่แน่ ถ้าซื้อผ่านเอเจนซี่ก็คงดีกว่าคะ เพราะว่าสายการบินลาวถูกกว่าถึง 3000 บาท โดยประมาณ…
ส่วนสายการบินไทยของเรา มีเที่ยวบินไปเวียงจันทร์วันละสองรอบค่ะ ช่วงประมาณ สิบโมงเช้า กับประมาณ สองทุ่ม ส่วนเราจองช้า เลยเหลือแค่รอบสองทุ่มเท่านั้น อาหารที่เสิร์ฟบนเครื่องบิน เป็นส้มตำไก่ทอด บ่งบอกเลยว่าเรากำลังจะไปไหน? ออกจากกรุงเทพฯประมาณสองทุ่ม พวกเรามาถึงสนามบินเวียงจันทร์ก็สามทุ่มกว่าๆ สนามบินที่เวียงจันทร์ชื่อว่า Wattay International Airport
ทางโรงแรมที่เราพัก ส่งรถมารับแต่คิดค่าบริการ 240 บาท ก็คิดว่าไม่แพง เพราะว่า ถ้าเหมารถที่ลาว ยังไงก็ 200บาทอยู่ดี
จากสนามบินไปโรงแรมที่เราพัก ซึ่งอยู่บนถนนหลักในตัวเมืองเวียงจันทร์ ใช้เวลาโดยประมาณไม่ถึง 20นาที ที่ไม่ประทับใจก็ตรงคนขับรถที่ไปรับเนี่ย แทนที่จะมาช่วยถือกระเป๋าจากผู้หญิงก่อน กลับปรี่เข้าไปช่วยจากผู้ชาย เพราะเห็นว่าเป็นฝรั่งหรือเปล่าค่ะเนี่ย?!!!
โรงแรมที่เราเลือกที่จะพักที่ เวียงจันทร์ก็คือ Salana Hotel สนนราคาจองผ่านอโกดา ก็ประมาณคืนละ 3000 บาท เป็นโรงแรมสูง 6ชั้น ทำเลดีเลยค่ะ เดินไปตลาดนัดกลางคืนได้สบายๆ แถมรอบๆ ก็มีบริษัททัวร์ฯ ที่ให้บริการทัวร์ และรถเช่า ภายในห้องก็ตกแต่งแบบประณีตสวยงาม เตียงกว้างมาก ไม่เคยเจอเตียงกว้างขวางขนาดนี้มากก่อน คิดว่าเป็นเตียงขนาด King of the king size! มีผลไม้ และช็อคโกแลต วางไว้เพื่อต้อนรับด้วย อาหารเช้าก็มีพอเหมาะพอดี ไม่มากไม่น้อย เสียอย่างเดียว กาแฟที่ใช้เสิร์ฟรสชาดแย่มาก (แอบสังเกตเวลาเขารินลงแก้ว แล้วใช้ช้อนตักขึ้นมา หรือ ดูที่ก้นแก้วจะเห็นตะกอนกากกาแฟอย่างเห็นชัด!) ทำให้ก่อนออกจากโรงแรมเราเขียนคอมเมนต์ไว้ว่า ทุกอย่างดีมาก และจะดีที่สุด ถ้าเปลี่ยนยี่ห้อกาแฟ!
โรงแรมอื่นๆ ที่แอบมองๆ เห็นจากข้างนอกว่าดูดี ทำเลใกล้ๆ กัน และดูน่าสนใจดีก็น่าจะมี Chanthapanya Hotel, Settha Palace Hotel, Novotel Hotel และเกสท์เฮ้าส์อื่นๆ อีกมากมายค่ะ
วันแรกที่เวียงจันทร์
(ดาวน์โหลดแผนที่เมืองเวียงจันทร์ คลิกที่นี่ แล้วค่อย คลิกขวา เพื่อ save as picture ค่ะ)
หลังจากอิ่มหนำสำราญกับอาหารเช้าของโรงแรม เราก็เดินไปที่เค้าน์เตอร์ของโรงแรม เพื่อจะถามข้อมูลว่าจะไปเที่ยวได้ยังไง แต่พอเช็คราคาค่ารถของโรงแรมแล้ว ราคา 50ดอลล่าร์ หรือประมาณ 1500 บาท สำหรับไปกลับ Buddha Park ซึ่งไกลออกไปนอกตัวเมืองประมาณ 30 นาที เราคิดว่าคุ้มแล้วเพราะว่ารถโรงแรมเป็นรถตู้อย่างดี ก็เลยตัดสินใจให้โรงแรมพาไป
คนขับรถชื่อ กล้าค่ะ หนุ่มลาวคนนี้ท่าทางเรียบร้อย นอบน้อม และพูดภาษาไทยชัดมาก เราก็แอบถามว่า เคยไปประเทศไทยหรือ? ทำไมพูดภาษาไทยชัดจัง? เขาบอกว่า เขาเคยไปแค่แถวๆ หนองคาย สองสามครั้ง ขับรถพาแขกไปนี่แหล่ะ แต่เขาอยากพูดภาษาไทยได้ เพราะว่า มันทำให้เขาดูดี (สำหรับคนลาว เขาบอกแบบนี้จริงๆ) เขาหัดพูดภาษาไทยโดยการดูละครไทย (ก็เคเบิ้ลทีวีที่นี่ก็ของทรูของเรานี่แหล่ะค่ะ) เด็กลาวเล็กๆที่นี่ เลยพูดภาษาไทยได้กันหมดทุกคน…
แต่อย่างว่าค่ะ ภาษาลาวกับภาษาไทยนั้นใกล้เคียงกันมาก ยิ่งถ้ามีพื้นฐานภาษาอีสานบ้านเราก็จะเป็นต่อในการสื่อสารกับคนพื้นเมืองที่นี่เลยค่ะ…
Buddha Park หรือ สวนพระ หรือ Xieng Khuan
ถนนหนทางจากตัวเมืองไปสวนพระ ตอนแรกๆก็ยังเป็นทางเรียบอย่างดี แต่พอออกไปจากตัวเมืองแล้ว และประมาณ2 กิโลเมตรก่อนถึง Buddha Park เป็นถนนขรุขระ ขนาดนั่งรถตู้มา ยังหัวสั่นหัวคลอน นายกล้าบอกเราว่า แต่ก่อนถนนดีกว่านี้มาก แต่พอน้ำท่วมบ้าง อะไรบ้าง ถนนเลยเป็นแบบนี้ แล้วพอเป็นแบบนี้ กลับทำให้เกิดอุบัติเหตุน้อยลง น้อยลงกว่าตอนที่ถนนดีๆ เพราะว่า คนขับรถระวังกันมากขึ้น รัฐบาลเลยถือเป็นกุศโลบายที่จะไม่ซ่อมถนนเพราะสาเหตุที่ว่า ถนนไม่ดีทำให้อุบัติเหตุน้อยลง…. (คิดได้ไงอ่ะ???) ระหว่างทาง เราลอดผ่านใต้สะพานมิตรภาพไทยลาวด้วย แสดงให้รู้ว่า ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำที่เราเห็นลิบๆ นั้นคือประเทศไทย ของเรานี่เอง
มาถึง Buddha Parkแล้ว ชำระค่าผ่านทางคนละ 25บาท แค่มาถึงก็เห็นว่าสวยแล้วค่ะ
ที่นี่ไม่ใช่วัด แต่เป็นสวนที่ถูกตกแต่ง ด้วยรูปปูนปั้น พระพุทธรูป และ สิ่งก่อสร้างที่แฝงไว้ด้วยปริศนาธรรมะ
ตามประวัติแล้ว ทราบว่า ผู้สร้าง คือ ปู่เหลือ ท่านได้เปลี่ยนสถานที่นี้ซึ่งเป็นมรดกจากพ่อแม่ของท่าน เป็นสวนพระ โดยสร้างเมื่อปี 2501 (และปู่เหลือ ก็สร้างสวนพระ โดยมีรูปแบบคล้ายๆ กันที่จังหวัดหนองคาย โดยเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า ศาลาแก้วกู่ อีกด้วยนะคะ)
บางอย่างก็ไม่สามารถบอกได้ว่า คืออะไร แต่ว่า สวยมากจริงๆ ยิ่งขึ้นไปถ่ายรูปบนจุดสูงๆ มองลงมา เห็นหญ้าสีเขียว ตัดกับ รูปปั้นปูนมีสีดำๆ ของความเก่าแล้ว ดูสวยงาม และอลังการมาก
ออกมาจากสวนพระ นายกล้า คนขับรถของโรงแรมบอกว่า ขากลับ จะมีสวนคล้ายๆ สวนพระ พวกเราสนใจจะแว่ะด้วยไหม? ถามแบบนี้ไม่แว่ะไม่ได้แล้ว!
ที่นี่ก็ไม่ใช่วัดอีกแล้วค่ะ เพราะว่าคือ สวนวัฒนธรรม Culture Ethic Park ค่าผ่านทาง คนละ 10 บาทค่ะ
แต่ว่า เหมือนเขายังสร้างไม่เสร็จ หรือไม่คิดจะสร้างต่อแล้ว ที่นี่ก็เลยมีแต่รูปปั้นไดโนเสาร์ กับรูปปั้นสัตว์อื่นๆ ไม่กี่ตัว โชคดีที่เป็นแค่ทางผ่านขากลับ เพราะว่า ความสวยงามหรือความสมบูรณ์ของสถานที่ ยังห่างไกลกับสวนพระ ถ้ามีเวลาน้อย อาจจะไม่ต้องแว่ะก็ได้นะค่ะ
เดินทางกลับเข้าเมือง แต่ขอนายกล้าพาเราแว่ะ ที่ประตูชัยก่อน นายกล้าบอกว่างั้นต้องไปพระธาตุหลวง That Luang ด้วยเลย เพราะว่าอยู่ใกล้ๆ กัน
พระธาตุหลวง That Luang หรือ พระเจดีย์โลกะจุฬามณี (ลาว: ທາດຫລວງ หรือ ลาว: ພຣະທາດຫລວງ)
ที่นี่นับเป็นปูชนียสถานอันสำคัญยิ่งแห่งนครหลวงเวียงจันทน์ และเป็นศูนย์รวมใจของประชาชนชาวลาวทั่วประเทศ ตามตำนานกล่าวว่าพระธาตุหลวงมีประวัติการก่อสร้างนับพันปีเช่นเดียวกันพระธาตุพนมในประเทศไทย และปรากฏความเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ของดินแดนทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงอย่างแยกไม่ออก สถานที่นี้ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์สำคัญอย่างของประเทศลาว ดังปรากฏว่าตราแผ่นดินของลาวที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้มีรูปพระธาตุหลวงเป็นภาพประธานในดวงตรา
ค่าเข้านมัสการพระธาตุ คนละ 20 บาทค่ะ แต่ต้องแต่งตัวเรียบร้อยหน่อย หากสาวๆ ท่านใดใส่กางเกงขาสั้นมา เขาก็จะมีผ้านุ่งให้ยืมใส่ฟรี และก็ต้องใส่ก่อนเข้านมัสการพระธาตุด้วยค่ะ
เดินร้อนๆ ออกมาจากพระธาตุหลวง ร้อนจนแทบจะเป็นลม เลยบอกนายกล้าว่า ไม่ขอแว่ะ ประตูชัยวันนี้ดีกว่า เพราะว่าร้อนมาก แต่ขอแว่ะตลาดเช้าเลยดีกว่า ตอนแรกนึกว่าคือตลาด แต่ว่า ตลาดเช้า หรือ ตลาดเซ้า ก็คือ ห้างสรรพสินค้าของที่นี่ เป็นห้างสรรพสินค้าที่เงียบมากเท่าที่เราเคยเจอห้างสรรพสินค้ามา! รอบๆ ตัวห้างมีของขายบ้าง ส่วนใหญ่เป็นพวก ผ้า ผ้านุ่ง เครื่องใช้ไฟฟ้า มีของที่เป็นของพื้นบ้านไม่มาก แต่ราคาแอบโหดร้ายพอสมควร!
ได้เพียงเท้าที่แกะสลักมาจากไม้ หนึ่งคู่ แปลกดีค่ะ ตอนแรกนึกว่าเป็นของประดับตกแต่งเก๋ๆ แต่คนขายบอกว่า เป็นที่นวดกดจุด…ราคาบอกตอนแรก อันละ 450 บาท ต่อไปต่อมา ได้คู่ละ 700 บาท ที่นี่เราไม่ได้ช็อปอะไรมากเนื่องจาก บรรยากาศและสินค้าไม่ได้ออกแนวที่เราคาดหวังไว้ อีกอย่างพวกเรารอตลาดกลางคืน ที่อย่างห่างจากโรงแรมที่พักเพียงแค่ 100 เมตรดีกว่า!
เดินวนในตลาดเช้าแค่รอบเดียว เราก็กลับมาที่โรงแรม แต่ทีมงานฝรั่งเราต้องการลองชิม แซนวิซลาว หรือ แป้งจี่ หรือ บาเก็ตต์ เราเลยขอให้นายกล้าจอดแว่ะข้างทางเพื่อซื้อมาสักหน่อย
แป้งจี่ของลาวแท้ๆ ดูก็รู้ว่าได้อิทธิพลบาเก็ตต์(baguette) ของฝรั่งเศสมาเต็มๆ ขนมปังยาวมาก ราคาแค่อันละ 20 บาท เห็นวิธีทำคร่าวๆ โดยเขาจะทามายองเนส ใส่หมูหยอง มันหมู กุนเซียง หมูยอ ทูน่า ผักชี แตงกวา โรยซอสพริกกับซอสมะเขือเทศ แล้วก็หั่นครึ่งให้เรา
เราสองซื้อ 2 ร้าน มาลองทานเปรียบเทียบกัน แม้ว่าวิธีทำเหมือนกัน แต่ว่า อร่อยต่างกันคะ ต้องลองดูหลายๆ ร้าน สูตรใครสูตรมัน…
หมดไปหนึ่งวัน แบบร้อนๆ กลับมาเช็คราคาค่ารถ ปรากฎว่าทั้งหมดทั้งสิ้น 86ดอลล่าร์ หรือประมาณ 2,600 บาท ค่ะ โดยเขาบอกว่า 50ดอลล่าร์นั้นแค่พาไปสวนพระ Buddha park ค่ะ แต่ว่า หลังจากนั้นคิดชั่วโมงละ 10ดอลล่าร์ หรือชั่วโมงละ 300 บาท!!!
แล้วพวกเราก็รอเวลาเที่ยวตลาดกลางคืน ซึ่งจะเริ่มประมาณ 5 โมงเย็น ถึงประมาณ 3ทุ่ม และก็อีกแล้วค่ะ ผิดหวัง ก็เราคาดหวังอย่างแรงกล้าว่า เราได้จับจ่ายใช้สอยแบงค์ยี่สิบบาทของเราอย่างอิ่มหนำสำราญแน่ๆ เย็นนี้ แต่….
ที่นี่ กลับกลายเป็นตลาดนัดธรรมดาๆๆ ขายแต่เสื้อผ้าแฟชั่น (ของผู้หญิงส่วนใหญ่) ร้านที่เป็นร้านแบบงานศิลป์ หรืองานประดิษฐ์จำพวก งานโอทอปแบบบ้านเรานั้น มีเพียงสองสามร้าน ซึ่งดูๆ แล้วไม่ค่อยน่าสนใจ จะดีก็ตรงเสื้อยืดที่สามารถซื้อเป็นของฝากได้ สนนราคาเสื้อยืด ถ้าไซส์ใหญ่ ก็ 120บาท ตัวเล็กลงมาก็ 100 หรือ 80 บาท ตามลำดับ (ราคายังไม่ได้มีการต่อรอง) เห็นแล้วก็แอบกร่อยๆ แถมเดินได้สักพัก ฝนก็เริ่มจะลงเม็ด แม่ค้าพ่อค้า บางเจ้าก็ทยอยเก็บของ สรุป เราไม่ได้ซื้ออะไรเลยจากตลาดกลางคืน คงได้แต่แว่ะชมวิวสวยๆ ข้างแม่น้ำโขงเท่านั้นเอง
มาแว่ะทานอาหารค่ำที่ร้าน Inter City Hotel ดูข้างนอกสวยหรู พอเข้ามาแล้วสั่งอาหารเสร็จสรรพ 10นาทีแรกผ่านไป ยังไม่เอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ จนต้องทวง 20นาทีผ่านไปได้อาหารสองจานแรก แล้วมาได้ข้าวเปล่าในนาทีที่ 30!!! ไม่ใช่เราเรื่องมาก แต่พนักงานดูเหมือนไม่เต็มใจให้บริการ แถมบางคนมาทีหลังกลับได้อาหารก่อน!
เดินกลับโรงแรม มาเสียดายเพราะเจอร้านอาหารข้างทาง คนขายร้องเรียกแบบเป็นกันเองและต้องการบริการมากกว่าร้านเมื่อตะกี้ อาหารก็เห็นกันชัดๆ ว่าสดกว่า โดยมีสไตล์การจัดร้านเหมือนร้านข้าวต้มรอบดึกแถวบ้านเรา น่าทานดีเหมือนกันค่ะ
มาหยุดอีกที่ตรงร้านโรตี จริงๆ ร้านนี้เจ้าของเขาเป็นคนอินเดีย แต่ว่าคนที่ทำโรตีดูจากหน้าแล้วน่าจะเป็นคนพื้นที่มากกว่า ส่วนราคาก็แพงเอาการเลยเหมือนกัน ธรรมดา 20บาท ใส่ไข่ 30บาท รสชาดแบบโรตีๆ ไม่ได้อร่อยมากมายอะไร…
ก่อนกลับเข้าห้องพัก เราก็เดินตามหารถเช่าเพื่อจะเช่าต่อไปวังเวียงในวันต่อไป ตอนแรกจะเหมารถตู้แต่เสียดายตังค์ รถทางโรงแรมเรียก 5400บาท ข้างนอกเรียก 4000บาท (อะไรเนี่ย รถตู้เหมาในเมืองไทย แค่วันละ 2000 บาทเอง) สรุปว่าเราสู้ราคารถเหมาไม่ไหว ได้แค่ซื้อตั๋วรถมินิแวน หรือรถตู้ โดยค่ารถไปวังเวียง คนละ 310บาท และตอนนี้เหลือเที่ยวบ่ายตรงเท่านั้น (มีวันละสองรอบค่ะ 9โมงเช้า กับ บ่ายโมง)
ขอบอกว่าตั๋วรถตู้ รถบัส ไม่ต้องไปซื้อถึงสถานี จะมีร้านตัวแทนจำหน่ายทั่วไป โดยเฉพาะแถวๆตลาดกลางคืนค่ะ
วันสุดท้ายที่เวียงจันทร์ และก็เตรียมเดินทางไป วังเวียง!
ได้เที่ยวตั๋วรถตอนบ่ายโมงก็ดีเหมือนกัน มีเวลาเก็บตกที่เวียงจันทร์อีกครึ่งวันก่อนเดินทางไปวังเวียง เราก็เลยคว้ากล้องแล้วเดินไปหาตุ๊กตุ๊ก ถามราคาว่าไปกลับ ประตูชัยเท่าไร รายแรกดูออกแนวฟาดฟันกำไรว่า เที่ยวละ 40,000กีบ หรือประมาณเที่ยวละ 160 บาท ไปกลับก็ 320 บาท บ้าไปแล้วค่ะ ไม่เคยขึ้นตุ๊กตุ๊ก แพงขนาดนีัมาก่อน และเท่าที่รู้มันไม่ได้ไกลมากขนาดนั้น เราเลยเดินหนีเลย แม้ว่าตุ๊กตุ๊ก จะพยายามลดราคาลงมาให้ แต่กลับไมชอบขี้หน้าเขาซะงัั้น ไปต่อรองคันอื่นคันถัดไปดีกว่า เพราะแม้ว่าจะบอกราคาเท่าๆกัน แต่หน้าเขาซื่อๆกว่า เลยต่อคำเดียวว่า ไปกลับสองร้อยบาท เป็นอันตกลง นี่ถ้าลาวมีแท็กซี่มิเตอร์แบบบ้านเราก็คงจะดี!
แต่การได้นั่งตุ๊กตุ๊กก็ดีอย่าง ได้ขี่ชมรอบเมืองเวียงจันทร์ของจริง เมื่อวานอยู่ในรถตู้จะมองไม่ค่อยเห็นอะไร แต่วันนี้ได้เห็นถนนหนทางชัดขึ้น แอบคิดว่านี่เหรอเมืองหลวงของลาว ความงามของเมืองช่างห่างไกลกับราคาค่าท่องเที่ยวนะ!
ประตูชัย หรือ ประตูไซ หรือ ประตูไชย
แต่ก่อนดินแดนลาวตกอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส เวียงจันทน์ถูกกำหนดให้เป็นศูนย์กลางการบริหารการปกครองของลาวในอาณัติของฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2442 ต่อมาเมื่อประเทศลาวประกาศเอกราชจากฝรั่งเศส จึงได้ทำการสร้าง ประตูไชย เพื่อเฉลิมฉลองการได้รับอิสรภาพขึ้นในปี 2503 ว่ากันว่าประตูชัยมีลักษณะหน้าตาคล้าย Arc de triomphe de l’Étoile ที่ปารีส อาจจะเป็นเพราะอิทธิพลของศิลปะฝรั่งเศสที่มีต่อประเทศลาวก็เป็นได้
ค่าเข้าชมประตูชัย คนละ 20บาท เดินขึ้นไปข้างบนเพื่อชมวิวรอบๆ เมืองได้ ระหว่างชั้นที่ขึ้นก็มีของขายด้วย (ราคาแพงกว่าข้างนอกนิดหน่อย แต่ว่าก็ยังถูกว่าร้านในสนามบิน)
วิวด้านล่างของบริเวณประตูไชย
จริงๆ ยังมีอีกหลายที่ที่น่าสนใจ แต่ว่า เราไม่ได้ไป
อย่างเช่น หอพระแก้ว คือสถานที่เคยประดิษฐาน พระแก้วมรกต คนลาวบอกว่า คนไทยชอบมาที่นี่ ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากประตูชัยมาก และไม่ใกล้ไม่ไกลกว่านั้น ก็วัดศรีษะเกศ และ ตลาดจีน ที่เขาว่ามีสินค้าราคาถูกมากมายจากเวียดนาม จีน ญี่ปุ่น ฯลฯ
สุดท้ายกลับมาที่บริเวณแถวๆ โรงแรมกับกิจกรรม นวดลาว ขาดไม่ได้เลยกับกิจกรรมนี้ เพราะส่วนตัวเราก็ชอบนวดอยู่แล้ว ประกอบกับติดใจนวดลาวที่หลวงพระบางมาก จำได้ว่าสาวลาวตัวนิดเดียวแต่นวดแรงดีมาก และที่เวียงจันทร์เลยพลาดไม่ได้ ราคานวดทุกร้านราคาใกล้กัน ร้านที่เรานวดฝ่าเท้านั้น คิดชั่วโมงละ 200 บาท สาวลาวที่นวดให้เราแรงดีมากมากจนแอบคิดในใจว่าเรามานวดนะ ไม่ได้มารบ อยากให้ลืมเรื่องบาดหมางของเราในอดีตด้วย ก็เพราะเธอแรงดีมากเกิน บีบหรือตบแต่ละที เนื้อแทบจะเละคามือ แต่ส่วนทีมงานฝรั่งของเราชอบมาก ชมว่าสาวลาวแรงดี!
ได้เวลาเกือบๆ เที่ยง ต้องรีบกลับไปจัดแจงและเช็คเอาท์เพื่อมารอตู้ที่จะมารับพวกเราไปที่วังเวียงค่ะ
โปรดติดตามอ่านต่อ ทริปที่วังเวียง เขาว่ากันว่า ที่นี่คือกุ้ยหลินของลาว!!!